วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ไวรัส Ebola คืออะไร

อีโบลาคืออะไร

อีโบลา อยู่ในกลุ่มโรคไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสอีโบลา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดประมาณ 80 นาโนเมตร ยาว 790-970 นาโนเมตร ป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่สุดโรคหนึ่งในโลก ได้ชื่อมาจากพื้นที่ลุ่มแม่น้ำอีโบลา ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ทวีปแอฟริกา (ชื่อประเทศเดิมคือ ซาอีร์) ซึ่งเป็นที่พบผู้ติดเชื้อครั้งแรกเมื่อปี 2519
อีโบลามี 5 สายพันธุ์ย่อยที่สามารถติดต่อในคน ได้แก่
  • สายพันธุ์ย่อย Bundibugyo ebolavirus (BDBV)
  • สายพันธุ์ย่อย Zaire ebolavirus (EBOV)
  • สายพันธุ์ย่อย Sudan ebolavirus (SUDV)
  • สายพันธุ์ย่อย Reston ebolavirus (RESTV)
  • สายพันธุ์ย่อย Tai Forest ebolavirus (TAFV)
ทั้งนี้ สายพันธุ์ในข้อ 1 – 3 เป็นสายพันธุ์ที่รุนแรงที่ก่อการระบาดในแอฟริกา ส่วนอีก 2 สายพันธุ์ที่เหลือยังไม่พบว่าก่อให้เกิดการระบาด และสายพันธุ์ RESTV เป็นสายพันธุ์ที่พบในจีนและฟิลิปปินส์ ที่ยังไม่เคยก่อการระบาด และยังไม่เคยเป็นเหตุให้เสียชีวิต
ebola002อาการของผู้ติดเชื้ออีโบลา
ระยะฟักตัว 2-21 วัน โรคนี้ พบได้ทุกกลุ่มอายุ อาการของโรคมีความผันแปรและมักเกิดฉับพลัน อาการแรกเริ่มได้แก่การมีไข้สูง (อย่างต่ำ 38.8°C หรือ 102°F) ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ ข้อและช่องท้องรุนแรง อ่อนเพลียอย่างหนักและวิงเวียนศีรษะ ในช่วงแรกๆ ที่เกิดการระบาดและยังไม่เป็นที่รู้จักมากมักวินิจฉัยว่าเป็นไข้มาลาเรีย ไข้ไทฟอยด์ ท้องร่วง ไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งโรคอื่นๆ ที่เกิดจากแบคทีเรียซึ่งมีอาการคล้ายกันแต่ไม่รุนแรงถึงชีวิต
อาการอาจร้ายแรงขึ้น เช่นท้องร่วงอย่างแรง อุจจาระกลายเป็นสีดำหรือแดงจัด อาเจียนเป็นโลหิต ตาแดงจัด ความดันโลหิตลดต่ำกว่า 90/60 ไต ม้ามและตับได้รับความเสียหาย อัตราการตายสูงมากถึงระหว่าง 50% – 90% สาเหตุที่ตายเกิดจากขาดเลือด หรืออวัยวะวาย
Bt2AR1WCAAIOIXyอีโบลาติดต่อได้ยังไง
สามารถติดต่อ 2 ทาง
1. ติดต่อจากสัตว์ โดยการสัมผัส ตัวสัตว์ สารคัดหลั่งของสัตว์ และ/หรือ กินสัตว์ที่เป็นพาหะโรคนี้ เช่น ช่น ลิง หรือ ค้างคาวผลไม้ ซึ่งเป็นสัตว์ที่ชาวแอฟริกานิยมจับทำอาหาร
2. ติดต่อจากคนสู่คน โดยการคลุกคลีใกล้ชิดสัมผัสสารคัดหลั่ง (ที่รวมถึง น้ำอสุจิ และน้ำจากช่องคลอด) ของคนที่ติดเชื้อโรคนี้ (และเชื่อว่า การติดต่ออาจเกิดได้จากการไอ จาม หัวเราะซึ่งละอองน้ำลายมีขนาดใหญ่ แต่ยังไม่มีรายงานการติดต่อทางการหายใจ) ซึ่งการติด ต่อจากคนสู่คนนี้ เป็นวิธีการที่ทำให้เกิดการระบาดได้อย่างกว้างขวางจากโรคนี้สามารถติดต่อ กันได้ง่ายและอย่างรวดเร็ว

การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียังยาที่ใช้รักษาโรคอีโบลา คุณหมอทำได้แต่คอยประคับประคองตามอาการในโรงพยาบาล
ebola003สถานะการณ์ปัจจุบัน
ค่อนข้างน่าเป็นห่วงเพราะกำลังระบาดอย่างหนักในทวีปแอฟริกา ทั้งประเทศกินี ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอ ปีนี้มียอดผู้ป่วยเกือบๆ 1,200 ราย เสียชีวิตไปกว่าครึ่ง ต่อนนี้ทั่วโลกกำลังตระหนักถึงสถานะการณ์นี้และตื่นตัวจึงมีการคุมเข้านักเดินทางที่มาจากประเทศเสี่ยง อย่างเมื่อคืนนี้ที่ประเทศฮ่องกนก็มีการตรวจสอบคนของตัวเองที่ไปประเทศเคนยามาเหมือนกันแต่ก็ไม่พบอะไร
แล้วก็มีอีกเรื่องที่อยากจะพูดถึงคือารสูญเสีย นายแพทย์ชีคห์ อูมาร์ คาน วัย 39 ปี จากไวรัสอีโบลา นายแพทย์ชีคห์ได้รับการยกย่องว่าเป็น  “วีรบุรุษของชาติเซียร์ราลีโอน” จากบทบาทของเขาในการต่อสู้เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้ออีโบลาและช่วยชีวติคนไข้ได้หลายคนในเซียร์ราลีโอน และยังมีพยาบาล 3 คน ที่ทำงานร่วมกับ ดร.คาน เสียชีวิตด้วย ขอยกย่องในความเสียสละและขอแสดงความเสียใจในที่นี้ด้วยครับ
ebola001คนไทยควรตื่นตัวแค่ไหน
ebola004จากรูปแม้ดูเหมือนจะเกิดไกลประเทศไทย และไม่เคยมีการค้นพบผู้ติดเชื้อ แต่เราก็ควรจะรู้ และช่วยกันสอดส่อง เพื่อวันหนึ่งถ้ามันมาจริงเราจะได้ไม่แตกตื่นสติแตกกระเจิง ย้ำอีกนิดว่าพื้นที่ประเทศสีฟ้าและสีน้ำเงินน้ำเงินคือประเทศที่พบเชื้ออีโบลาในลิงและหมูนะครับเป็นอีโบลา 2 สายพันธุ์ที่ยังไม่เคยก่อการระบาด และยังไม่เคยเป็นเหตุให้เสียชีวิต
ประเทศไทยของเรานั้นโอกาสเสี่ยงค่อนข้างต่ำครับ เพราะที่ต่างประเทศในประเทศเสี่ยงก็มีการคุมเข้มผู้ที่จะออกเดินทางไปนอกประเทศ แล้วก็ในประเทศของเราเองมีการป้องกันคุมเข้มในระดับที่น่าไว้ใจได้โดยประเทศของเรามีทีมงานด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศอยู่ เครื่องไม้เครื่องมือก็ทันสมัย ซึ่งเราก็ติดตามข่าวสารแล้วก็ร่วมให้กำลังใจพวกเขากันได้ที่http://thaigcd.ddc.moph.go.th หรือที่เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/HealthControl.SVB
อีกทั้งกระทรวงสาธรณสุขขอกเราเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจครับ ​ได้จัดระบบเฝ้าระวังและป้องกันไว้แล้วคือ
  • ให้กรมควบคุมโรคติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศเฝ้าระวังผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนไทยที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค หากพบผู้มีอาการอยู่ในข่ายสงสัยให้รายงานทันที
  • ให้โรงพยาบาลทุกแห่งใช้มาตรการดูแลรักษา หากมีผู้ป่วยมีอาการในข่ายสงสัยในระดับเดียวกับโรคไข้หวัดนก ,รคซาร์ส เป็นต้น
  • ให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เตรียมความพร้อมในการตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการ
ช่องทางที่เอาไว้ตรวจสอบการระบาดของไวรัสอีโบลาคือที่องค์การอนามัยโลก หรือชื่อสั้นๆ WHO (World Health Organization)ครับ >> http://www.who.int

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

10 Technology น่าจับตามอง 2557

นำเสนอ “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจ” ในงาน “นาสด้า อินเวสเตอร์เดย์” ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ซึ่งปีนี้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ นำมาจัดร่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา เครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ และเครือข่ายพันธมิตร ในงาน “IP INNOVATION AND TECHNOLOGY EXPO 2014”  หรือไอพีไอเท็กซ์ 2014 งานแรกของไทยที่บูรณาการรวมสุดยอดนวัตกรรมและทรัพย์สินทางปัญญาของคนไทยจากหน่วยงานต่างๆไว้ด้วยกัน

“ดร.ทวีศักดิ์  กออนันตกูล”  ผู้อำนวยการ สวทช. บอกถึงการนำเสนอ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองว่า หลายเทคโนโลยีที่เคยกล่าวไว้ในปีก่อน ๆ วันนี้หลายอย่างเริ่มเห็นว่าเป็นจริงได้เร็วกว่าที่คิด อย่างเช่น ทีดีพรินเตอร์หรือเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่ขณะนี้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย มีทั้งเครื่องขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ที่พิมพ์ออกมาสร้างเป็นบ้านได้เป็นหลัง ๆ หรือแม้กระทั่งการพิมพ์อวัยวะด้วยหมึกที่ทำจากเซลล์และของเหลวที่อยู่กับเซลล์ได้ ก็ยังอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา 
ขณะเดียวกันรากฐานของวิทยาการหลัก ๆ ที่เราถือว่ามั่นคงแล้ว มีหลายเรื่องที่ทำให้เกิดการพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าทึ่งได้ อย่างเช่น วงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่เก่งขึ้นสองเท่าทุกสองปี  ฮาร์ดดิสก์ที่ทุกสิบปีจะมีความจุเพิ่มขึ้นกว่า 200 เท่าตัว การคำนวณที่เร็วขึ้นมหาศาล อินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้น  รวมถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ดีขึ้น
สำหรับ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจ ในปี 2557 นี้  ดร.ทวีศักดิ์ บอกว่า  
ลำดับที่  1 RNAi Therapeutics
คือเทคโนโลยี อาร์เอ็นเอไอ เธอราปี หรือการแทรกแซงด้วยอาร์เอ็นเอ ซึ่งวิธีการใหม่ที่นักวิทยาศาสตร์กำลังวิจัยกันอยู่ เพื่อให้สามารถเข้าไปขัดขวางการทำงานของเซลล์เป้าหมาย เช่น เซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งเติบโตไม่ได้ แบ่งตัวก็ไม่ได้ และตายไปในที่สุด  โดยไม่กระทบกระเทือนกับเซลล์ปกติที่อยู่รอบๆ  ขณะนี้มีการทดสอบยาแบบอาร์เอ็นเอไอ  ระดับคลินิกในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งตับแล้ว และในระดับห้องปฏิบัติการก็ยังมีผู้ทดสอบในอีกหลายโรค 
ลำดับที่ 2 DNA Robot 
เทคโนโลยีดีเอ็นเอ โรบอท หรือดีเอ็นเอที่ออกแบบพิเศษ สามารถประกอบร่างตัวเองจนได้รูปร่างและโครงสร้างพิเศษ ซึ่งมีประโยชน์ในการใช้เป็นพาหะหรือตัวกลาง เพื่อนำยาหรือสารบางอย่างไปที่เซลล์เป้าหมายได้ ปัจจุบันในต่างประเทศอยู่ระหว่างพัฒนา ดีเอ็นเอ โรบอท ในรูปแบบต่าง ๆ 
ลำดับที่ 3 Synthetic Biology 
เป็นศาสตร์ใหม่ที่ผสานวิทยาศาสตร์เข้ากับวิศวกรรม เน้นการออกแบบและสร้างสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีในธรรมชาติ ส่วนใหญ่ที่ผ่านมาจะสร้างเป็นจุลินทรีย์ ที่มีคุณสมบัติผลิตสารสำคัญที่มูลค่าสูงจนคุ้มค่ากับการลงทุน 
ลำดับที่ 4 Smart Polymer
หรือพอลิเมอร์ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ภายนอกได้ อาทิ แสง ความร้อน  สารเคมี หรือสนามแม่เหล็ก โดยการตอบสนองนั้นๆ ทำให้พอลิเมอร์มีการเปลี่ยนแปลง เช่น รูปร่าง  อุณหภูมิ หรือสี คุณสมบัติแบบนี้ในระดับสุดยอด ก็คงไม่ต่างจากในภาพยนตร์ที่แม้หุ่นยนต์โดนยิง ก็ยังซ่อมแซมตัวเองได้
ลำดับที่  5 Lightweight Composite 
หรือ คอมโพสิตน้ำหนักเบา แต่แข็งแรงเท่ากับเหล็ก มีความสำคัญมากกับอุตสาหกรรมยานยนต์และภาคการขนส่ง ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ลำดับที่  6  Seawater magnified
เป็นการสกัดแร่ธาตุและโลหะหายากที่มีค่าออกมาจากน้ำทะเล ไม่ว่าจะเป็น ลิเทียม แบเรียม โมลิบดีนัม นิเกิล และแร่ยูเรเนียม ซึ่งเป็นแร่มูลค่าสูงที่ต้องการในตลาด 
ลำดับที่  7 OLED

หรือไดโอดเปล่งแสงจากสารอินทรีย์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานแสง โดยนำไปใช้งานได้ในสองรูปแบบใหญ่ๆ คือ ใช้เป็นจอแสดงผล และใช้เป็นแหล่งกำเนิดแสง  
ลำดับที่ 8 เทคโนโลยีแอลอีดี 
ซึ่งจะมาแทนฟลูออเรสเซนต์ได้ เนื่องจากประหยัดพลังงานมากกว่า และมีแนวโน้มที่จะสะท้อนสีจริงของวัตถุตามธรรมชาติดีขึ้นเรื่อยๆ 
ลำดับที่ 9 Cognitive
หรือ Computing Computer ที่เข้าใจ และเรียนรู้ข้อมูลต่างๆ ตลอดจนคิดและตัดสินใจได้เอง โดยอาศัยวิธีการเรียนรู้แบบเดียวกับสมองมนุษย์
ลำดับที่ 10 Big Data Analytic Platform 
ปัจจุบันมี Big Data หรือข้อมูลขนาดใหญ่มากๆ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในหลายวงการทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลการตลาดที่เกี่ยวข้องกับโซเชียลมีเดีย ข้อมูลพันธุกรรมมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ข้อมูลจราจร และข้อมูลการพยากรณ์อากาศ 
เทคโนโลยี Big Data ซึ่งมีการวิเคราะห์ขั้นสูงจะมีประโยชน์ ทั้งด้านการค้า และการวางแผนสำหรับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการคมนาคม การสาธารณสุข หรือแม้แต่ด้านความมั่นคงของประเทศ

ขอบคุณแหล่งที่มาข่าว dalilynews.co.th

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

10 เมนูเด็ด อาเซียน

เนื่องจากแถบอาเซียนมีทรัพยากรค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้มีเมนูอาหารที่น่ารับประทาน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพให้เลือกมากมาย  ดังนั้นเพื่อไม่ให้พลาดกับอาหารรสเลิศของประเทศต่างๆ ทีมงานจึงเลือก อาหารขึ้นชื่อของ กับ 10 เมนูเด็ดของ 10 ประเทศอาเซียน ที่ถ้าได้ไปเยือนแล้ว ไม่ควรพลาดมากฝากกัน 

1.ประเทศไทย 
          ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong)  แค่เอ่ยชื่อก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ต้มยำกุ้งเป็นอาหารคาวที่เหมาะสำหรับรับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ กลิ่นหอมของสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบในต้มยำกุ้ง นอกจากจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการเจริญอาหารได้เป็นอย่างดี

          และเนื่องจากต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่มีรสเปรี้ยว และเผ็ดเป็นหลัก ทำให้รับประทานแล้วไม่เลี่ยน จึงทำให้ต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมถึงชาวต่างชาติเองก็ติดอกติดใจในความอร่อยของต้มยำกุ้งเช่นเดียวกัน

อาหารอาเซียน เมนูเด็ดของ
ต้มยำกุ้ง

2.ประเทศกัมพูชา
          อาม็อก (Amok) เป็นอาหารคาวยอดนิยมของกัมพูชา มีลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย โดยเป็นการนำเนื้อปลาสด ๆ ลวกพริกเครื่องแกง และกะทิ แล้วทำให้สุกโดยการนำไปนึ่ง ซึ่งนอกจากจะใช้เนื้อปลาแล้ว อาจเลือกใช้เนื้อไก่แทนก็ได้ ส่วนสาเหตุที่คนในประเทศกัมพูชานิยมรับประทานปลา เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของกัมพูชามีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ทำให้ปลาเป็นอาหารที่หารับประทานได้ง่ายนั่นเอง
                                                    
อาม็อก - ประเทศกัมพูชา

3.ประเทศบรูไน
        
  อัมบูยัต (Ambuyat) เป็นอาหารยอดนิยมของบรูไน มีลักษณะเด่นอยู่ที่ตัวแป้งจะเหนียวข้นคล้ายข้าวต้ม หรือโจ๊ก โดยมีแป้งสาคูเป็นส่วนผสมหลัก ตัวแป้งอัมบูยัตเอง ไม่มีรสชาติ แต่ความอร่อยจะอยู่ที่การจิ้มกับซอสผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว นอกจากนี้ยังมีเครื่องเคียงอีก 2-3 ชนิด เช่น ผักสด เนื้อห่อใบตองย่าง หรือเนื้อทอด  ทั้งนี้ การรับประทานอัมบูยัตให้ได้รสชาติ ต้องรับประทานตอนร้อน ๆ จึงจะดีที่สุด
                  อาหารอาเซียน เมนูเด็ดของ
                                          อัมบูยัต - ประเทศบรูไน

4.ประเทศพม่า
          หล่าเพ็ด (Lahpet) เป็นอาหารยอดนิยมของพม่า โดยการนำใบชาหมักมาทานกับเครื่องเคียง เช่น กระเทียมเจียว ถั่วชนิดต่าง ๆ งาคั่ว กุ้งแห้ง ขิง มะพร้าวคั่ว เรียกได้ว่า มีลักษณะคล้ายคลึงกับเมี่ยงคำของประเทศไทย ซึ่งหล่าเพ็ดนี้ จะเป็นเมนูอาหารที่ขาดไม่ได้ในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญ ๆ ของประเทศพม่า โดยกล่าวกันว่า หากงานเลี้ยง หรืองานเฉลิมฉลองใด ไม่มีหล่าเพ็ด จะถือว่าการนั้นเป็นงานที่ขาดความสมบูรณ์ไปเลยทีเดียว
           อาหารอาเซียน เมนูเด็ดของ
หล่าเพ็ด - ประเทศพม่า 

5.ประเทศฟิลิปปินส์
          อโดโบ้ (Adobo) เป็น อาหารยอดนิยมของประเทศฟิลิปปินส์ ทำจากเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ ที่ผ่านการหมัก และปรุงรส โดยจะใส่น้ำส้มสายชู ซีอิ๊วขาว กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ นำไปทำให้สุกโดยอบในเตาอบ หรือทอด แล้วนำมารับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ
          ในอดีตอาหารจานนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักเดินทาง เนื่องจากส่วนผสมของอโดโบ้สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน เหมาะสำหรับพกไว้เป็นเสบียงอาหารระหว่างการเดินทาง ซึ่งปัจจุบันอโดโบ้ได้กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่นำมารับประทานกันได้ทุกที่ทุก เวลา
                         อาหารอาเซียน เมนูเด็ดของ
                                       อโดโบ้ - ประเทศฟิลิปปินส์

6.ประเทศสิงคโปร์
          ลักซา (Laksa) อาหารขึ้นชื่อของประเทศสิงคโปร์ ลักซามีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่กะทิ ทำให้รสชาติเข้มข้น คล้ายคลึงกับข้าวซอยของไทย โดยลักซาจะมีส่วนผสมของ กุ้งแห้ง พริก กุ้งต้ม และหอยแครง เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารทะเลเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ลักซามีทั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ ทว่า แบบที่ใส่กะทิจะเป็นที่นิยมมากกว่าลักซา - ประเทศสิงคโปร์
                   อาหารอาเซียน เมนูเด็ดของ

                                                   ลักซา - ประเทศสิงคโปร์

7.ประเทศอินโดนีเซีย
          กาโด กาโด (Gado Gado) อาหารยอดนิยมของประเทศอินโดนีเซีย ประกอบไปด้วยผัก และธัญพืชหลากหลายชนิด  ทั้งแครอท มันฝรั่ง กะหล่ำปลี ถั่วงอก ถั่วเขียว นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้ และไข่ต้มสุกด้วย กาโด กาโดจะนำมารับประทานกับซอสถั่วที่คล้ายกับซอสสะเต๊ะ อย่างไรก็ตาม ด้วยเครื่องสมุนไพรในซอส อาทิ รากผักชี หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ ทำให้เมื่อรับประทานแล้วจะไม่รู้สึกเลี่ยนกะทิมากจนเกินไปนั่นเอง
อาหารอาเซียน เมนูเด็ดของ
กาโด กาโด - ประเทศอินโดนิเซีย
8. ประเทศลาว 
          สลัดหลวงพระบาง (Luang Prabang Salad) เป็นอาหารขึ้นชื่ออีกชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีรสชาติกลาง ๆ ทำให้รับประทานได้ทั้งชาวตะวันออก และตะวันตก โดยส่วนประกอบสำคัญคือ ผักน้ำ ซึ่งเป็นผักป่าที่ขึ้นตามริมธารน้ำไหล และยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น  มันแกว แตงกวา มะเขือเทศ ไข่ต้ม ผักกาดหอม และหมูสับลวกสุก ส่วนวิธีปรุงรสคือ ราดด้วยน้ำสลัดชนิดใส คลุกส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว และถั่วลิสงคั่ว

อาหารอาเซียน เมนูเด็ดของ
สลัดหลวงพระบาง - ประเทศลาว

9.ประเทศมาเลเซีย
          นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) อาหารยอดนิยมของประเทศมาเลเซีย โดยนาซิ เลอมัก จะเป็นข้าวหุงกับกะทิ และใบเตย ทานพร้อมเครื่องเคียง 4 อย่าง ได้แก่ ปลากะตักทอดกรอบ แตงกวาหั่น  ไข่ต้มสุก และถั่วอบ ซึ่งนาซิ เลอมักแบบดั้งเดิมจะห่อด้วยใบตอง และมักทานเป็นอาหารเช้า แต่ในปัจจุบัน กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่ทานได้ทุกมื้อ และแพร่หลายในประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายแห่ง เช่น สิงคโปร์ และภาคใต้ของไทยด้วย
อาหารอาเซียน เมนูเด็ดของ
นาซิ เลอมัก - ประเทศมาเลเซีย
10.ประเทศเวียดนาม 
          เปาะเปี๊ยะเวียดนาม  (Vietnamese Spring Rolls) ถือเป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองที่โด่งดังที่สุดของประเทศเวียดนาม ความอร่อยของเปาะเปี๊ยะเวียดนาม อยู่ที่การนำแผ่นแป้งซึ่งทำจากข้าวจ้าวมาห่อไส้ ซึ่งอาจจะเป็นไก่ หมู กุ้ง หรือหมูยอ โดยนำมารวมกับผักสมุนไพรอีกหลายชนิด เช่น สะระแหน่ ผักกาดหอม และนำมารับประทานคู่กับน้ำจิ้มหวาน โดยจะมีถั่วคั่ว แครอทซอย ไชเท้าซอย ให้เติมตามใจชอบ และบางครั้งอาจมีเครื่องเคียงอย่างอื่นเพิ่มด้วย 
อาหารอาเซียน เมนูเด็ดของ
ปอเปี้ยะเวียดนาม - ประเทศเวียดนาม

กระทรวงแรงงานไทย เสนอหลักสูตร MRA ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน

  กระทรวงแรงงานของประเทศไทยได้เสนอหลักสูตรเพื่อพัฒนาทักษะสำหรับบุคลากรด้านการท่องเที่ยว เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)

            รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานกล่าวว่า หลักสูตรการพัฒนาทักษะจะได้รับการออกแบบมาให้สอดคล้องกับข้อตกลงยอมรับร่วมคุณสมบัตินักวิชาชีพ หรือ MRA ในด้านการท่องเที่ยวอาเซียน

            โดยการลงนาม MRA เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญ ในการริเริ่มการสนับสนุนการท่องเที่ยวในอาเซียน ซึ่ง MRA จะอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้ประกอบวิชาชีพการท่องเที่ยวภายในภูมิภาค ซึ่งมีมาตรฐานเดียวกันในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังจะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนท่องเที่ยวระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย

            32 สาขาอาชีพภายใต้ MRA ครอบคลุมงานด้านบริการทั้งหมด ตั้งแต่ทำความสะอาด, สำนักงาน,อาหารและเครื่องดื่ม,การผลิตอาหาร, การจัดการโรงแรม, หน่วยงานและผู้ประกอบการท่องเที่ยว เป็นต้นนอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูง, การขายแลการตลาด, เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส เพิ่มเข้าไปในข้อตกลงการอบรบมาตรฐาน MRA




            หลักสูตรนี้จะทำหน้าที่พัฒนาฝีมือแรงงาน โดยแบ่งออกเป็นสามส่วน, ส่วนแรกมุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือกับภาคการศึกษาในการพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว, ส่วนที่สองทำการยกระดับบุคลากรด้านการท่องเที่ยว เพิ่มทักษะในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะการพัฒนาธุรกิจโรงแรมและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว, ส่วนที่สามมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะสำหรับผู้ประกอบการอิสระที่มีความประสงค์จะมีส่วนร่วมในธุรกิจการท่องเที่ยว

            นอกจากนี้รองอธิบดีฯยังกล่าวอีกว่า อาจจะมีพัฒนาหลักสูตรนี้ให้เป็นหลักสูตรร่วมมือกันกับผู้มีประสบการณ์สูงด้านการท่องเที่ยวอาเซียน หากหลักสูตรนี้ถูกนำมาใช้ก็จะเป็นเรื่องดีที่การท่องเที่ยวจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในด้านเศรษฐกิจภายในภูมิภาคนี้โดยหลักสูตรนี้นะเริ่มทำการทดสอบในตุลาคม 2014 และประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่จะดำเนินการตามหลักสูตรนี้

ASEAN Travel - Maleka

เที่ยว มะละกา นั่งสามล้อสัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย

เที่ยว มะละกา นั่งสามล้อ
     มีหนึ่งในข้อมูลน่าสนใจว่า"มะละกอ"ที่เราคุ้นเคยกับการนำไปทำเป็นส้มตำสุดแซบนั้น ได้พันธุ์เข้ามาเมืองไทยครั้งแรกในสมัยกรุงธนบุรีจากเมือง"มะละกา"ประเทศมาเลเซีย (และเป็นที่แพร่หลายในต้นยุครัตนโกสินทร์มาถึงปัจจุบัน)
       
       เดิมผลไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางอเมริกาใต้ ก่อนที่โปรตุเกสกับสเปนจะนำมาปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโปรตุเกสนำเอามะละกอมาปลูกครั้งแรกที่เมืองมะละกา
       
       นั่นจึงทำให้ใครหลายๆ คน เมื่อไปมะละกาก็มักจะถือโอกาสตามรอยตำนานมะละกอไปในตัว ส่วนใครที่อยากกินส้มตำนั้น คงต้องอดใจกลับมาหาส้มตำรสแซบที่บ้านเรากันเอาเอง

เที่ยว มะละกา นั่งสามล้อ
      เมืองมะละกาโดดเด่นไปด้วยประวัติศาสตร์และงานสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์จนมะละกาได้รับการประกาศให้เป็น"มรดกโลก" ในปี ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551)
       
       จากกรุงเทพฯ เดินทางโดยเครื่องบิน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงสู่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย จากนั้นจึงนั่งรถต่อไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึงยังเมืองมะละกา

       “มะละกา” เป็นเมืองหลวงรัฐมะละกา ซึ่งเป็น 1 ใน 13 รัฐของประเทศมาเลเซีย มีชื่อเรียกมาจาก "ต้นมะขามป้อม" หรือที่ชาวมะละกาเรียกว่า “Malacca Tree” ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำเมืองมะละกา ไม่เกี่ยวเนื่องกับมะละกอแต่อย่างใด
       
       แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้การมาเยือนเมืองมะละกาของเราในครั้งนี้มีความน่าสนใจน้อยลงเลยสักนิด เพราะมะละกายังมีเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่เสื่อมคลาย โดยในตำนานการก่อสร้างเมืองมะละกามีอยู่ว่า เจ้าชายปรเมศวร (Parameswara) ทรงลี้ภัยมาจากเกาะสุมาตรา ได้มาค้นพบที่ตั้งเมืองแห่งนี้ โดยขณะที่เจ้าชายกำลังขึ้นฝั่งพักผ่อน ได้เห็นกระจงถูกฝูงหมาป่ารุมไล่ทำร้าย กระจงเมื่อจวนตัวจึงหันมาสู้กับหมาป่าจนตัวตาย เมื่อเจ้าชายเห็นดังนั้นก็เกิดความประทับใจในความกล้าหาญของกระจง และเกิดความคิดว่าควรสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่นี่ ในบริเวณที่กระจงตายอยู่ใกล้ต้นมะละกา

เที่ยว มะละกา นั่งสามล้อ
     
 สมัยก่อนเราคงเคยได้ยินชื่อช่องแคบมะละกากันอยู่บ่อยๆ ซึ่งช่องแคบมะละกานั้น เป็นช่องแคบที่อยู่ระหว่างแหลมมลายูกับเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย ที่มีความยาวกว่า 800 กิโลเมตร ส่วนที่แคบที่สุดมีความกว้าง 1.5 ไมล์ เป็นยุทธศาสตร์ทางการเดินเรือที่สำคัญของดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของมะละกา และด้วยความแคบที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของมะละกานี้ จึงทำให้เป็นที่มาของคำว่า ช่องแคบมะละกา
     ด้วยภูมิศาสตร์และที่ตั้ง ทำให้เมืองมะละกากลายเป็นเมืองท่าริมทะเลที่เติบโตจนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เป็นเส้นทางเดินเรือค้าขายระหว่างชาติตะวันตกและตะวันออก สินค้าสำคัญก็มีทั้ง เครื่องเทศ ผ้าไหม ชา ฝิ่น ยาสูบ ทองคำ ฯลฯ มะละกาจึงเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจจากบรรดานักล่าอาณานิคมชาวตะวันตก โดยโปรตุเกสเป็นชาติแรกที่เข้ามายึดครองมะละกาใน ค.ศ. 1511-1641 ก่อนที่จะถูกดัตช์ (ฮอลแลนด์) เข้ามาครอบครองต่อใน ค.ศ. 1641-1795 จากนั้นเปลี่ยนมือผู้ปกครองมาเป็นอังกฤษใน ค.ศ. 1795-1941 และญี่ปุ่นเข้ามายึดครองในช่วงสั้นๆ ระหว่าง ค.ศ. 1941-1945 ก่อนจะกลับไปอยู่ใต้อาณานิคมของอังกฤษอีกครั้ง ใน ค.ศ. 1945-1957 และท้ายที่สุด มาเลเซียได้ประกาศอิสรภาพใน ค.ศ. 1957 ซึ่งมะละกาคือสถานที่ประกาศเอกราช โดยปัจจุบันตึกอนุสรณ์ประกาศอิสรภาพยังคงตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ในย่านท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนี้
      
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้ “มะละกา” มีสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่ผสมผสานระหว่างศิลปกรรมโปรตุเกส ดัตช์และมาเลย์เกิดขึ้นมากมาย จนทำให้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในปัจจุบัน

เที่ยว มะละกา นั่งสามล้อ
       
สำหรับจุดแรกในมะละกา เราเริ่มต้นด้วยการไปเที่ยวชมความงามของเมืองมะละกา ในมุมสูง 360 องศา กันที่ “หอคอยมะละกา” ที่มีความสูง 110 เมตร ภายในหอคอยมีที่นั่งสามารถบรรจุคนได้ราว 60 คน
       
       การขึ้นหอคอยนี้จะใช้เวลาประมาณ 15 นาที เมื่อทุกคนนั่งประจำที่กันพร้อมแล้ว หอคอยจะค่อยๆ หมุนขึ้นด้านบนโดยจะหมุนวนทางขวาแบบรอบ 360 องศาไปเรื่อยๆ ไปจนถึงด้านบนสุด มองลงจะเห็นเมืองมะละกาได้รอบทิศทาง ทั้งเมืองเก่า เมืองใหม่ ท้องทะเล ช่องแคบมะละกา แม่น้ำมะละกา คลองมะละกา หลังคาบ้านเรือนที่ดูมีสีสันสวยงามมีเสน่ห์ไม่แพ้ที่ไหน และเมื่อหอคอยไต่ระดับขึ้นไปสูงอีก ก็จะทำให้เห็นในมุมที่กว้างมากขึ้นจนสุดความสูงของหอคอย จากนั้นหอคอยจะค่อยๆ หมุนลงมาด้านล่างจนถึงพื้นราบเป็นอันจบการชมวิวเมืองมะละกาแบบ 360 องศา
       อีกจุดหนึ่งที่โดดเด่นที่ไม่ว่าใครที่มาเมืองมะละกาก็ต้องแวะชม “A’Famosa” ป้อมแห่งนี้ตั้งที่อยู่เชิงเขาเล็กๆ ชื่อว่าเขา St. Paul hill เป็นป้อมปืนที่โปรตุเกสสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1511 ปัจจุบันคงเหลืออยู่เพียงป้อมเดียว ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของมะละกาที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนกัน

เที่ยว มะละกา นั่งสามล้อ
      
     ถัดจากป้อมปืนโปรตุเกสเราเดินขึ้นเขากันนิด บนยอดเขา St. Paul hill เป็นที่ตั้งของ "โบสถ์เซนต์ปอล (St. Paul Church)" เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ.1753 ภายในเป็นสุสานของนักบุญ Francis Xavier ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นของนักบุญ Francis Xavier (ข้อมือขวาขาด) ตั้งโดดเด่นอยู่ สำหรับการเดินขึ้นไปยังโบสถ์เซนต์ปอลนั้นมีสองเส้นทาง คือขึ้นจากทางป้อม A’Famosa หรือจะเลือกขึ้นทางอาคารสตัดธิวท์ก็ได้ ด้านบนสามารถมองมาเห็นทะเลและทัศนียภาพด้านล่างได้ เมื่อชมกันพอหอมปากหอมคอแล้ว จากนั้นเดินลงเขา St.Paul จะพบกับต้นมะละกาหรือต้นมะขามป้อม ต้นไม้ประจำเมืองมะละกาอีกด้วย
      นอกจากป้อมเก่าแก่แล้ว ในละแวกนี้ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์มะละกา (Maritime Museum) เป็นลักษณะของเรือสำเภาจำลองของชาวโปรตุเกส ที่มีชื่อว่า Flora de La Mar ภายในจัดเก็บเรื่องราวของเรือสำเภาในอดีต ตึกอนุสรณ์ประกาศอิสรภาพ ภายในจัดเก็บข้อมูลเหตุการณ์การประกาศอิสรภาพของชาวมาเลเซีย พระราชวังวังสุลต่านแห่งมะละกา (จำลอง) ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรม เป็นต้น
เที่ยว มะละกา นั่งสามล้อ
       
   สิ่งน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของเมืองมะละกาที่ดูเรียบง่ายและเงียบสงบนั่นก็คือแม่น้ำมะละกา บริเวณริมแม่น้ำสายเล็กๆ แห่งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นชมวิวได้ ที่บริเวณด้านข้างสองฟากฝั่งเต็มไปด้วยร้านค้าที่เรียงรายกันเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านกาแฟ รวมไปถึงเกสต์เฮาส์ โรงแรม รีสอร์ตต่างๆ ที่ทำให้ทั้งริมคลองทั้งสองฝั่งดูสวยงามลงตัว ส่วนใครที่อยากจะดื่มด่ำกับทัศนียภาพริมคลองมะละกาก็สามารถนั่งเรือเที่ยวรอบๆ กันได้
      ส่วนจุดที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของเมืองมะละกาก็คือ “เรด สแควร์” (Red Square) หรือจัตุรัสแดง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “จัตุรัสดัตช์” ที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางชุมชนดัตช์ในสมัยที่เข้ามาปกครองมลายู อาคารต่างๆ ที่ล้อมรอบจัตุรัสเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ใจกลางจตุรัสเป็นลานน้ำพุแบบอังกฤษที่สร้างถวายแด่พระราชินีวิกตอเรียใน ค.ศ. 1904 ส่วนรอบๆ ลานน้ำพุคือหอนาฬิกา โบสถ์คริสต์ (Christ Church) ศิลปกรรมดัตช์ประยุกต์ ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1753 และอาคารสตัดธิวท์ (Stadhuys) ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1650 เป็นอาคารดัตช์เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย ปัจจุบันอาคารสตัดธิวท์กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และวรรณคดีของมะละกา อาคารทั้งสามต่างทาด้วยสีแดงเข้ม จนกลายเป็นชื่อเรียกจัตุรัสแดง
     ที่บริเวณด้านหน้าจัตุรัสแดงถือเป็นศูนย์รวมสิ่งของมากมาย ทั้งสินค้าจากมะละกา หรือของฝากที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองมะละกา ก็สามารถหาซื้อกันได้จากบริเวณนี้ หากเดินย้อนไปทางด้านหลังของจัตุรัสดัตซ์จะพบกับบ้านเรือนเก่าแก่ที่เรียงรายกันตลอดสองข้างทาง ซึ่งจุดนี้ก็ถือเป็นไฮไลต์ของเมืองมะละกา เนื่องจากบ้านเมืองเหล่านี้ทุกหลังจะเป็นห้องแถวที่คงความเป็นเอกลักษณ์ไว้ ทุกบ้านจะทาสีแดงเข้มเหมือนกันหมด เมื่อตัดกับถนนเส้นเล็กๆ แล้ว ทำให้ยิ่งเมืองนี้ยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก

เที่ยว มะละกา นั่งสามล้อ

       และสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนเมืองมะละกาก็คือ “รถสามล้อถีบ” หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า “Trishaw” สามล้อที่นี่หน้าตาจะแตกต่างไปจากเมืองไทยก็ตรงที่สามล้อแต่ละคันจะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้สีสันสดใสทั่วทั้งคัน บ้างเป็นรูปหัวใจ เป็นการ์ตูน รูปผีเสื้อ หรือสร้างเป็นโดมลักษณะโค้งๆ สีสันสดใส เหลือง แดง ส้ม มีให้เลือกนั่งกันจนลายตา
      สุดท้ายมาปิดทริปเที่ยวเมืองมะละกากันที่ “Jonker Walking Street” หรือ “ถนนคนเดินยองเกอร์” สำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูปนั้น มาถนนเส้นนี้ต้องถูกอกถูกใจเป็นแน่ เนื่องจากถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยตึกแถวสวยๆ เรียงรายกันทั้งสองฟากฝั่งให้ถ่ายรูปกันสนุกสนาน นอกจากนี้แล้วถนนเส้นนี้ยังมีร้านขายของเก่า ร้านอาหาร รวมถึงร้านขายของที่ระลึก ให้ได้เลือกซื้อกันอยู่มากมาย
      จะเห็นได้ว่ามะละกานั้น เป็นเมืองเก่าอีกแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีตและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากมาย จนทำให้ยูเนสโกประกาศให้เมืองมะละกาเป็นเมืองมรดกโลก และการมาเยือนเมืองมะละกาครั้งนี้ของ “ตะลอนเที่ยว” เอง ก็สนุกสนาน และประทับใจกับมะละกาเมืองเก่าแห่งนี้ไม่แพ้ที่ไหนๆ

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประกันสังคม สำหรับคนมีลูก

วงนี้อยู่ในช่วงเทศกาลวันแม่ ลูกๆ ทั้งหลายอาจจะนึกภาพวันแรกที่คลอดจากท้องแม่ไม่ออก สำหรับคุณแม่หรือใครที่กำลังจะเป็นคุณแม่ในเวลาอันใกล้นี้ คงจะจำภาพในวันคลอดได้อย่างไม่มีวันลืม 

ว่าที่คุณแม่ทั้งหลายคงได้วางแผนเตรียมค่าใช้จ่ายคลอดบุตรไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนนึงที่เป็นสมาชิกของกองทุนประกันสังคม ที่มีสิทธิประโยชน์จากการคลอดบุตร แต่มักหลงลืมใช้สิทธินี้ เพื่อรักษาสิทธิฯในกองทุนประกันสังคมดังกล่าว อีกทั้งยังลดภาระค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตร ดังนั้น สิทธิประกันสังคม การคลอดบุตร เงินสงเคราะห์บุตร ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าลาคลอด กรณีเป็นผู้ประกันตนตาม ม. 33  และ ม. 39 ที่คุณแม่ควรรู้ มีดังนี้
  1. รับค่า คลอดบุตรแบบเหมาๆ 13,000 บาท / บุตร 1 คน
  2. ผู้ประกันตนหญิง ลาคลอด รับค่าชดเชย 50% ของรายได้ นาน 90 วัน 
  3. รับเงินค่าเลี้ยงดูบุตร เดือนละ 400 บาท/บุตร 1 คน ตั้งแต่แรกเกิด - 6 ขวบ


ประกันสังคมกับผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ

ประกันสังคมกับผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ 

            เนื่องจากผู้ประกอบวิชาชีพอิสระจัดเป็นแรงงานนอกระบบ ซึ่งไม่ได้อยู่ในขอบข่ายของระบบประกันสังคม ทำให้ไม่ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์จากภาครัฐเหมือนกับแรงงานในระบบหรือผู้ที่ทำงานโดยมีนายจ้าง แต่ทราบหรือไม่ว่า ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระหรือแรงงานนอกระบบสามารถได้รับสวัสดิการเพิ่มขึ้นจากภาครัฐโดยการสมัครเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม โดยรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงินสมทบและสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจะขอกล่าวถึงในบทความนี้ค่ะ


ผู้ที่มีรายได้ประจำหรือผู้ที่ทำงานโดยมีนายจ้าง จะเป็นผู้ประกันตนโดยบังคับในระบบประกันสังคม มีหน้าที่ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน โดยได้รับความคุ้มครองจากกองทุนประกันสังคมใน 7 กรณี ได้แก่ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ตาย ทุพพลภาพ คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน ในขณะที่ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ ซึ่งทำงานโดยไม่มีนายจ้าง จะได้รับสวัสดิการจากภาครัฐอย่างเดียว คือ สิทธิการรักษาพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ทั้งนี้ แนวทางหนึ่งที่ทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระได้รับสวัสดิการจากภาครัฐเพิ่มขึ้นคือ การสมัครเป็นผู้ประกันตนในกองทุนประกันสังคม


เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพอิสระสมัครกองทุนประกันสังคม จะจัดเป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ หรือเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 โดยผู้ที่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ได้นั้น จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ และไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ 39 (ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 คือ ลูกจ้างหรือผู้ที่มีรายได้หลักจากเงินเดือนจะเป็นผู้ประกันตนโดยบังคับ ซึ่งมีหน้าที่ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือนตามที่กล่าวไปข้างต้น สำหรับผู้ประกันตามมาตรา 39 คือ ผู้ที่เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาก่อน และสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนด้วยเหตุออกจากงาน แล้วสมัครเข้ามาเป็นผู้ประกันตนอีกครั้ง)


สำหรับสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 จะได้รับจากกองทุนประกันสังคม ขึ้นอยู่กับการส่งเงินสมทบ โดยการจ่ายเงินสมทบจะจ่ายเป็นรายเดือน เดือนละ 1 ครั้ง และจ่ายเงินสมทบล่วงหน้าได้ครั้งละไม่เกิน 12 เดือน แต่ไม่สามารถจ่ายเงินสมทบย้อนหลังได้ โดยปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายช่วยผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ เรียกว่า เงินประเดิม ซึ่งเงินที่รัฐบาลร่วมจ่ายหรือเงินประเดิมนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง ทั้งนี้ ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 สามารถเลือกจ่ายเงินสมทบได้ 2 ทางเลือก คือ


ทางเลือกที่ 1 เงินสมทบ 100 บาทต่อเดือน  (ผู้ประกันตนจ่าย 70 บาท รัฐบาลร่วมจ่าย 30 บาท)

ได้รับสิทธิประโยชน์ 3 กรณี คือ

    1. กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย

เมื่อผู้ประกันตนต้องนอนพักที่โรงพยาบาลตั้งแต่ 2 วันขึ้นไป จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 200 บาทต่อวัน ซึ่งสามารถเบิกได้ไม่เกิน 20 วันต่อปี โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 4 เดือน สำหรับค่ารักษาพยาบาลสามารถใช้สิทธิบัตรทอง

    2. กรณีทุพพลภาพ

ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เนื่องจากทุพพลภาพ 500-1,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 15 ปี โดยจำนวนเงินทดแทนขึ้นอยู่กับระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป สำหรับค่ารักษาพยาบาลกรณีทุพพลภาพสามารถใช้สิทธิบัตรทอง

    3. กรณีเสียชีวิต

ได้รับเงินค่าจัดการศพจำนวน 20,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือนภายในระยะเวลา 12 เดือน

ทางเลือกที่ 2 เงินสมทบ 150 บาทต่อเดือน (ผู้ประกันตนจ่าย 100 บาท รัฐบาลร่วมจ่าย 50 บาท) 

ได้รับสิทธิประโยชน์ 3 กรณีเช่นเดียวกับทางเลือกที่ 1 และเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีเงินบำเหน็จชราภาพอีก 1 กรณี เมื่อผู้ประกันตนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และไม่ต้องการเป็นผู้ประกันตนต่อ จะได้รับเป็นเงินก้อนที่เกิดจากเงินสมทบทั้งหมดรวมกับดอกผลของเงินสมทบที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบตามทางเลือกที่ 2 แล้วต้องการรับเงินบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้น สามารถจ่ายเงินสมทบเพิ่มเติมได้ไม่เกินเดือนละ 1,000 บาทต่อเดือน

กล่าวได้ว่า กองทุนประกันสังคมเป็นหนึ่งในบริการด้านสวัสดิการสังคม เพื่อช่วยคุ้มครองป้องกันประชาชนผู้ประกอบวิชาชีพอิสระมิให้ได้รับความเดือดร้อนในความเป็นอยู่ของชีวิตเมื่อต้องสูญเสียรายได้ โดยได้รับสิทธิประโยชน์สอดคล้องกับจำนวนเงินสมทบที่ส่ง และหากผู้ประกันตนเลือกส่งเงินสมทบกรณีชราภาพ เงินสมทบก้อนนี้จะเป็นเงินออมสะสมไว้ใช้จ่ายในวัยเกษียณ


วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

EGA ทุ่ม 800 ล้านสร้างไซต์สำรองรับมือบริการภาครัฐผ่านแอป

EGA ทุ่ม 800 ล้านสร้างไซต์สำรองรับมือบริการภาครัฐผ่านแอป
ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ EGA
       EGA เตรียมงบ 800 ล้านบาท จัดทำไซต์สำรองสนับสนุนระบบงานภาครัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ คาดอีก 6 เดือนได้สถานที่ พร้อมจับมือภาครัฐร่วมพัฒนาแอปใหม่ๆ เพิ่มเป็น 150-200 แอป จากปัจจุบันอยู่ที่ 100 แอป หลังตั้งศูนย์กลางแอปพลิเคชันเพื่อให้ประชาชนเข้ามาใช้งานได้จริงไม่ใช่แค่แอปพีอาร์ เตรียมกระตุ้นการใช้งาน eService หลังพบผู้ใช้เพียง 3% จากบริการที่มีอยู่ 800 กว่าบริการ
       
       ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ EGA กล่าวว่า EGA ได้เตรียมงบประมาณไว้ในเบื้องต้นประมาณ 800 ล้านบาท ในการทำไซต์สำรองหรือ DR Site (Disaster Recover Site) หรือศูนย์สำรองข้อมูลฉุกเฉิน เพื่อรองรับกับระบบงานต่างๆ ให้สามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่สะดุด ภายใต้นโยบายรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Government ที่กำลังทำการพัฒนาระบบงานต่างๆ ของภาครัฐให้มีความทันสมัย และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้มากขึ้น
       
       โดยคาดว่าอีกประมาณ 6 เดือนนับจากนี้ จะได้สามารถหาที่ตั้งของ DR Site ได้ ส่วนการดำเนินงานครึ่งปีหลังนั้นจะเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับหน่วยงานภาครัฐ ในการเข้ามาสู่บริการแบบดิจิตอลให้มากขึ้น รวมทั้งจะทำการส่งเสริมและสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ๆ เพื่อให้การบริการประชาชนเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 100 แอป และตั้งเป้าหมายจะเพิ่มแอปพลิเคชันให้เป็น 150-200 แอป ภายในปีนี้
      
       “ล่าสุด EGA ได้ทำการเปิดตัว Government Application Center : GAC ซึ่งเป็นศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ ที่สะดวกต่อการค้นหา และเข้าถึงบริการอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประชาชนสามารถใช้บริการภาครัฐส่งตรงผ่านมือถือ ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้สามารถบริการประชาชนได้จริงไม่ใช่โปรแกรมประชาสัมพันธ์องค์กร ขณะเดียวกัน โปรแกรมเหล่านี้ยังสามารถรองรับโทรศัพท์มือถือ สามารถใช้งานกับสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งปัจจุบันจะเน้นที่ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ส่วนไอโฟนและวินโดวส์โมบายส์นั้นจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง”
EGA ทุ่ม 800 ล้านสร้างไซต์สำรองรับมือบริการภาครัฐผ่านแอป
       ดร.ศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริการ eService ของหน่วยงานภาครัฐมีอยู่ถึง 800 กว่าบริการ แต่ยังมีผู้ใช้เพียง 3% ของประชาการที่ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมดในประเทศเท่านั้น ดังนั้น EGA จะต้องเข้าไปมีบทบาทในการผลักดันและส่งเสริมเรื่องนี้ให้มากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในอีก 3 ปีข้างหน้า การใช้บริการภาครัฐจะสะดวกขึ้น และประชาชนไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังหน่วยงานราชการที่ต้องการติดต่อทั้งหมด และลดการกรอกแบบฟอร์มลงเหลือเพียงการเซ็นชื่อเท่านั้น 
      
       “เราตั้งใจว่าจะสามารถทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงบริการ eService ให้มากขึ้นกว่านี้ โดยเฉพาะการพัฒนาแอปพลิเคชันต่างๆ ที่จะต้องใช้งานได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว โดยจะมีการระดมความเห็นจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ และภาคประชาชน เพื่อให้รู้ถึงความต้องการใช้จากภาคประชาชนว่าต้องการแอปพลิเคชันด้านใดบ้าง เพื่อให้ภาครัฐทำการพัฒนาแอปพลิเคชันเพิ่มมากขึ้น และเป็นแอปที่ต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง”
       
       ทั้งนี้สำหรับแอปพลิเคชันเด่นๆ อาทิ RD HOT NEWS โปรแกรม RSS Reader สำหรับติดตามข้อมูลข่าวสารของกรมสรรพากร, Highway Police Thai by 97 System Pattaya แอปพลิเคชันที่ช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุในที่ต่างๆ ของประเทศไทย ส่วนในหมวดสุขภาพและการสาธารณสุขก็มี Oryor Smart Application ที่สามารถรับข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพ ได้แก่ ยา อาหาร เครื่องสำอาง เป็นต้น
       
       ทั้งนี้ ที่ผ่านมา EGA ได้ทำหน้าที่พัฒนาระบบงานต่างๆ ให้แก่รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาบริการใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบ GIN2.5 ซึ่งเป็นการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในภาพรวมของประเทศ เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายของหน่วยงานภาครัฐที่มีอยู่ และขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทุกส่วนราชการอย่างมั่นคงปลอดภัย
       
       ระบบ G-SaaS หรือ Government Software as a Service การบูรณาการระบบบริการภาครัฐที่ส่วนราชการสามารถใช้งานร่วมกันได้ สามารถเช่าใช้ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานภายในองค์กรได้อย่างรวดเร็ว และประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นการต่อยอดบริการคลาวด์ภาครัฐ หรือ G-Cloud ซึ่งในงานนี้จะมีการนำเสนอบริการใหม่ เช่น ระบบประชุมทางไกลรุ่นประสิทธิภาพสูง และอื่นๆ ทั้งนี้ ทุกๆ บริการของ EGA นั้นมีบทบาทและกลไกเพื่อสนับสนุนการพัฒนาและยกระดับ e-Government ประเทศไทย

คสช. เห็นชอบกรอบงบประมาณแผ่นดินปี 2558 รวม 2.5 ล้านล้านบาท, กระทรวงศึกษาได้ 19.3%


ที่ประชุม คสช. วันที่ 16 กรกฎาคม 2557 ลงมติเห็นชอบกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ที่มีงบทั้งหมด 2.575 ล้านล้านบาท ถือเป็นงบประมาณขาดดุล 2.5 แสนล้านบาท จากที่จัดเก็บเงินรายได้สุทธิ 2.325 ล้านล้านบาท

หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณสูงสุดคือกระทรวงศึกษาธิการ 4.98 แสนล้านบาท (19.3% ของงบทั้งหมด), งบกลาง 3.72 แสนล้านบาท (14.5%), กระทรวงมหาดไทย 3.41 แสนล้านบาท (13.3%), กระทรวงกลาโหม 1.9 แสนล้านบาท (7.5%), กระทรวงการคลัง 1.8 แสนล้านบาท (7.2%)

คสช. ได้มีงบลงทุนจำนวน 4.5 แสนล้านบาทด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ, 1.1 แสนล้านบาทเพื่อป้องกันน้ำท่วม-ภัยพิบัติ, 9.1 แสนล้านบาทด้านรถไฟรางคู่  ถัดจากนี้ไป งบประมาณปี 2558 จะถูกจดพิมพ์และเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเห็นชอบในวาระที่หนึ่ง วันที่ 6 สิงหาคม และผ่านกระบวนการของสภาในช่วงเดือนสิงหาคม และทูลเกล้าฯ วันที่ 15 กันยายน

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สิทธิการรักษาฟรีให้แก่ผู้ประกันตน

ความเจ็บป่วยเป็นหนึ่งเรื่องที่คนส่วนใหญ่เป็นกังวล เพราะเป็นเรื่องที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลาด้วย ประกันสังคมเล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้ประกันตนในส่วนนี้ จึงได้มอบสิทธิ์การรักษาฟรีให้แก่ผู้ประกันตนที่เป็นไปตามเงือนไข

แต่ความกังวลของคนเราก็ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของการเจ็บป่วยเท่านั้น  เรื่องค่าใช้จ่ายในการครองชีพก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความกังวลให้แก่มนุษย์เงินเดือนไม่น้อยทีเดียว หากคลอดลูกจะต้องทำอย่างไร วันดีคืนดีเกิดตกงานขึ้นมาจะมีเงินใช้ยังชีพหรือไม่ เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ชวนให้วิตก

 แต่ประกันสังคมก็ดูเหมือนจะคิดไว้แล้วว่าตรงไหนบ้างที่ผู้ประกันตนมีความกังวล ทางประกันสังคมจึงได้มอบสิทธิประโยชน์ให้ทั้งในกรณีคลอดลูกก็จะมีเงินสงเคราะห์บุตรให้  ตกงานก็จ่ายเงินว่างงานให้ถึงอัตราละ 50 ของเงินเดือนเฉลี่ย ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียวกับเงินชดเชยในส่วนนี้

 

     สิทธิประโยชน์ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  หากจะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม อ่านข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็ตามไปดูต่อได้ที่ https://www.facebook.com/ssochannelHD 

เพราะนอกจากผู้ประกันจะได้ทราบถึงข้อมูลต่างๆที่เป็นการรักษาสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลและ
ขอเงินชดเชยในกรณีต่างๆแล้ว ยังได้รู้ถึงแนวทางการดำเนินงานของประกันสังคมอีกด้วย
 อย่างน้อยที่สุดก็ได้รู้ว่าเงินที่ส่งประกันสังคมในแต่ละเดือนได้คืนอะไรตอบแทนกลับมาบ้าง

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประกันสังคม หลักประกันสำหรับคนทำงาน

     ประกันสังคม หลักประกันสำหรับคนทำงาน ที่มีความสำคัญมาก  สำหรับหลายคนที่มีโอกาสได้ใช้กันมาบ้างแล้ว คงจะเห็นถึงประโยชน์ ส่วนใครที่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้ก็คงจะสงสัยกันอยู่ว่า สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากประกันสังคมนั้นมีอะไรบ้าง               

     คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิทธิประโยชน์ของประกันสังคมค่อนข้างจะครอบคลุมทั้งเรื่องของสุขภาพ เช่น กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ จะสามารถเข้ารับการรักษากับสถานพยาบาลที่ผู้ประกันตนเลือกไว้ซึ่งเป็นการรักษาฟรี หรือหากเกิดกรณีฉุกเฉินก็สามารถเข้ารับการรักษาสถานพยาบาลที่ไหนก็ได้ นอกจากนี้ยังมีสิทธิประโยชน์ทางด้านทันตกรรม ทั้งขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน จนถึงการใส่ฟันเทียมก็รวมอยู่ในนั้นด้วย 

     ซึ่งนั่นอาจเป็นสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนทราบดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายสิทธิ์ที่ผู้ประกันตนยังไม่ทราบหรือยังไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นการคลอดลูก ในส่วนนี้ประกันสังคมก็จะมีเงินสงเคราะห์บุตรให้ และหากเกิดการตกงาน  ก็อย่าเพิ่งตกใจเพราะประกันสังคมได้มอบสิทธิประโยชน์ให้เป็นเงินว่างงาน โดยจะจ่ายเป็นอัตราละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย

     จะเห็นได้ว่าเงินที่ถูกหักจากเงินเดือนในแต่ละเดือนนั้นไม่ได้หายไปไหน  มันจะกลับมาตอบแทนผู้ประกันตนในรูปแบบต่างๆ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในแต่ละช่วงชีวิต ซึ่งจากที่กล่าวมาแล้วในข้างต้นนั้นเป็นสิทธิประโยชน์เพียงไม่กี่อย่างจากหลายๆสิทธิ์ หากว่าผู้ประกันตนท่านใดสนใจ อยากทราบถึงเรื่องราวของประกันสังคมให้ดียิ่งขึ้น หรืออยากรู้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เพราะว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ ก็เข้าไปดูกันได้ที่ sso channel https://www.facebook.com/ssochannelHD


แล้วสิทธิ์ที่พึงมีพึงได้ก็จะไม่หายไปไหน