วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หรรษาบำบัด

“การหรรษาบำบัด” 

การหัวเราะแบ่งได้ 2 ประเภท คือ หัวเราะธรรมชาติ เกิดจากถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขัน ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และหัวเราะบำบัด เป็นการหัวเราะแบบรู้ตัว เพื่อใช้ประโยชน์จากการหัวเราะกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เราอารมณ์ดี มีความสุข จนมีนักวิชาการบางท่านนิยามสารชีวเคมีนี้ว่าเป็น "สารสุข"



คนเราเมื่ออารมณ์ดี จะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ ในรายงานการตีพิมพ์ของวารสาร The Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) ตีพิมพ์งานวิจัยจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโตรอนโต คานาดา บอกว่าอารมณ์ของคนเราน่าจะมีผลต่อการประมวลผลข้อมูลของสมอง ถ้าอารมณ์ดีจะช่วยขยายความคิดสร้างสรรค์ให้กว้างขึ้น ในทางกลับกันถ้าอยู่ในอารมณ์หวาดวิตก เคร่งเครียด หรือแม้แต่ความมุ่งมั่นมากเกินไป จะมีผลต่อความคิดจะหดแคบเข้ามา อารมณ์ดีหรือไม่ดีมีผลต่อกระบวนการคิดและแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ของคนเรา 

ดังนั้นพวกเราทั้งหลายจงมาร่วมกันผลิตสารแห่งความสุขผ่านกระบวนการหัวเราะ ซึ่งไม่ว่าท่านจะหัวเราะแบบบำบัด หรือหัวเราะแบบธรรมชาติ ก็เชื่อว่าร่างกายก็จะหลั่งสารชีวเคมนี้ได้ด้วยเช่นกัน

การหัวเราะบำบัดมีหลายแบบ เช่น Lauther Yoga ของอินเดีย ซึ่งผสมผสานระหว่างการหัวเราะและควบคุมการหายใจของโยคะเข้าด้วยกัน และเป็นที่มาของการหัวเราะบำบัดในกว่า 40 ประเทศ หรือกลุ่มหัวเราะในประเทศออสเตรเลีย ที่เดินทางไปสถานที่ต่างๆ เพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้คนทั่วไปด้วยพฤติกรรมตลก สำหรับประเทศไทย ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้คิดค้นการหัวเราะบำบัด โดยผสมผสานการควบคุมการหายใจ การเปล่งเสียงหัวเราะ และการบริหารร่างกายไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นการหัวเราะที่ให้ผลเชิงสุขภาพโดยไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ขัน ใช้เวลาในทำกิจกรรมประมาณ 2-3 ชั่วโมง 

ข้อดีของการหัวเราะ

การหัวเราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายใน 7 ระบบได้แก่


  1. ระบบทำงานของสมอง การหัวเราะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาทสมองส่วนพรีฟรอนทอลคอร์เทกซ์ (prefrontal cortex) บริเวณสมองส่วนหน้า (ซึ่งสมองบริเวณนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมความคิดที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของอารมณ์เชิงบวกและลบ) ที่ทำให้เกิดการหลั่งของสารชีวเคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า endorphin ซึ่งเป็นสารชีวเคมีของสมองที่มีฤทธิ์ "เพชฆาตความเจ็บปวด" หรือสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คือในด้านที่ส่งผลทำให้อารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน สมองก็จะมีการถูกกระตุ้นให้มีเพิ่มพื้นที่การประมวลผลความคิดในเชิงบวกและสร้างสรรค์ มีผลทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับการบำบัดและฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
  2. ระบบหายใจ (Breathing) ในระหว่างที่หัวเราะร่างกายมีการหายใจเข้า กลั้นหายใจ และหัวเราะ (หายใจออกยาวๆ) ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนถ่ายออกซิเจน ฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดง จึงทำให้เซลล์ประสาทหัวใจ ปอด คอ แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยบริหารร่างกายให้เกิดความร้อนและการเผาผลาญพลังงานสูง ช่วยฆ่าเชื้อโรคและป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทั้งไข้หวัด ภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัส กรน ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคปอด
  3. ระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย (Digestion and Gastrointestinal) การหัวเราะบำบัดช่วยให้อวัยวะส่วนท้อง อาทิ ลำไส้ใหญ่ เล็ก ตับ ไต ไส้ กระเพาะ มีการเคลื่อนไหว เกิดการบริหารกระเพาะและลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายทำงานดีขึ้น ป้องกันโรคอ้วน โรคบูลิเมีย (Bulimia : โรคที่กินอาหารเข้าไปแล้วรู้สึกผิด จนบางครั้งต้องกินยาถ่าย หรืออาเจียนออก) หน้าท้องหย่อน ท้องป่อง โรคเบื่ออาหาร กินไม่ลง ท้องผูก ท้องเสีย โรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น
  4. ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulation and Cardio-vascular system) การหัวเราะบำบัดเป็นการออกกำลังทุกส่วนของร่างกายทำให้อวัยวะต่างๆ ได้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะเร็วบ้าง ช้าบ้าง หัวใจสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ มากขึ้น หัวใจทำงานเป็นระบบขึ้น ป้องกันอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหนื่อยง่าย เหนื่อยเร็ว เจ็บแน่นหน้าอก โรคขาดเลือด เส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคหัวใจ ตลอดจนอาการใจสั่น เสียงสั่น ตัวสั่น ตื่นตระหนกและประหม่าง่าย
  5. ระบบพักผ่อนและผิวพรรณ (Rest and Skin system) การหัวเราะบำบัดช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้เส้นประสาท กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ยืดหยุ่น ไม่ตึงหรือเกร็ง ทำให้ร่างกายเกิดการพักผ่อน นอนหลับสนิท ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่น และไม่เป็นโรคทางผิวหนัง ช่วยให้ร่างกายและจิตใจเกิดความสงบ มีสมาธิมากขึ้น
  6. ระบบเจริญพันธุ์ (Reproduction) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายทุกส่วนขยับขับเคลื่อน ส่งผลต่อการทำงานของสมองส่วนนอก ส่วนกลาง และส่วนใน ให้ทำงานดีขึ้น เป็นระบบขึ้น ทำให้สมองคิดแง่ดี มองโลกแง่บวก อารมณ์ดี พัฒนาอารมณ์รัก และการมีเพศสัมพันธ์ และช่วยป้องกันอาการไร้อารมณ์ หงอยเหงา โดดเดี่ยว ไม่อยากเข้าสังคม การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และการเข้าสังคม
  7. สัญชาติญาณการอยู่รอด (Survival instinct) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว แข็งแรง ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาท กระดูก กล้ามเนื้อ ร่างกายทำงานเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคไขข้อ โรคกระดูกต่างๆ ทั้งกระดูกพรุน ปวดหลัง ปวดเอว อ่อนเปลี้ยเพลียแรง โรคซึมเศร้า นอกจากนี้ยังช่วยทำลายสารอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
หากวันนี้คุณยังหาวิธีออกกำลังที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้ลองชวนคนในครอบครัวมาหัวเราะพร้อมเคลื่อนไหวร่างกายด้วยกันสิคะ นอกจากได้ออกกำลังแล้ว ยังสร้างรอยยิ้มในครอบครัวคุณอีกด้วย


ซิทคอม ประกันสังคม เรียกเสียงฮา แล้วยังได้สาระ 



google-site-verification: google9d4e77c25dd1dae7.html

9 สุดยอดผัก ห่างไกลมะเร็ง

9 สุดยอดผัก ห่างไกลมะเร็ง

ผัก ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนก็เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพทั้งนั้น ซึ่งผักทุกชนิดต่างก็อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมาย เราจึงถูกปลูกฝังให้กินผักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่บางทีเราก็ไม่รู้ว่าผักบางชนิดมันดีอย่างไร แล้วจะเลือกอย่างไรดี วันนี้เรานำข้อมูลจากเว็บไซต์ Reader's Digest มาสรุปให้ครับ


  1.  หัวหอม  เป็นผักชนิดหนึ่งที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก เมื่อรับประทานแบบสดๆ ช่วยป้องกันโรค  มะเร็งปอดและมะเร็งต่อมลูกหมาก
  2.  ข้าวโพด  เมื่อทำให้สุก จะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ลูทีน (Lutein) อย่างเต็มที่ ซึ่งเจ้าสารชนิดนี้มีฤทธิ์ในการช่วยต่อสู้กับปัญหาเกี่ยวกับดวงตาในผู้ข้าวโพดต้ม ลองนำข้าวโพดไปย่าง หรือนำไปทำซุปข้าวโพดก็ได้ประโยชน์
  3. ถั่วลันเตา  มีงานวิจัยในวารสารวิชาการ International Journal of Cancer พบว่าการรับประทานถั่วลันเตาทุกวันจะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ การทานก็ไม่ยาก แค่เอามาผัดให้สุกกับน้ำมัน
  4. คะน้า  มากไปด้วยวิตามิน C สูง ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย และการลดอาการอักเสบต่างๆ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โดยการไปลดระดับของคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีนั่นเอง เหมาะมากโดยเฉพาะคนที่มีไขมันในเลือดสูง
  5. บร็อคโคลี   ช่วยในการต่อสู้กับโรคมะเร็งมากที่สุดก็คงต้องยกแชมป์ให้บร็อคโคลี เพราะบร็อคโคลี เป็นผักที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และมีแร่ธาตุอื่นๆ อีกมากมาย
  6. พริกหวานสีแดง  ภายใต้เปลือกที่สีสันจัดจ้านนี้อุดมไปด้วยวิตามินซี มากถึง 150% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ของโรคหัวใจอีกด้วย
  7. ผักโขม  มากไปด้วย แคโรทีนอยด์ (carotenoid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพดวงตาและช่วยป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดในผู้สูงอายุ และในผักโขมก็มีสารชนิดนี้อยู่สูงมาก แต่ถ้าอยากให้ได้ประโยชน์มากขึ้นก็ควรนำผักไปปรุงให้สุกเพราะจะทำให้ร่างกายดูดซึมแคโรทีนอยด์ได้ดีขึ้น
  8. กะหล่ำดาว  เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการต่อสู้กับโรคมะเร็งที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระ รวมทั้งการรับประทานวิตามินซีทุกวันก็ช่วยต่อสู้โรคมะเร็งได้ ซึ่งในกะหล่ำดาวเพียงครึ่งถ้วยก็มีปริมาณวิตามินซีถึง 80% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน แถมยังช่วยต่อสู้กับโรคหัวใจและต้อกระจกได้อีกด้วย
  9. หัวบีท   หัวบีทเป็นผักที่เราไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไร ส่วนใหญ่ที่เคยก็ได้ยินน้ำบีทรูท ซึ่งก็เป็นน้ำที่มาจากหัวบีทนี่ล่ะ แต่นอกจากน้ำแล้ว เจ้าหัวบีทสดก็มีประโยชน์นะ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต่อสู้กับมะเร็ง  และมี ลูทีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยปกป้องดวงตา 

DIY Spacer อุปกรณ์พ่นยารักษาโรคหอบหืด

แพทย์ มธ. เจ๋ง ประดิษฐ์เครื่องพ่นยาหอบหืด 

ราคาถูก


แพทย์ มธ. เจ๋ง! ประดิษฐ์เครื่องพ่นยาหอบหืด DIY Spacer ราคาถูก ต้นทุนเพียง 30-40 บาท จากปกติ 1,200-1,400 บาท สามารถประดิษฐ์ได้ด้วยตัวเอง

        รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง อรพรรณ โพชนุกูล ประธานชมรมและทีมการผลิต เผยว่า ด้วยความที่ตนเองเป็นแพทย์รักษาโรคหอบหืด ซึ่งการรักษานั้นจะต้องพ่นยา MDI เพื่อขยายหลอดลมในการรักษา ด้วยการสูดยาต้องกดยาในจังหวะเดียวกันกับการหายใจเข้าทางปาก และต้องกลั้นหายใจเป็นเวลา 10 วินาที ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุไม่สามารถพ่นยาได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งยายังตกสะสมในปากและผนังลำคอ ซึ่งมีเพียงส่วนน้อยที่จะเข้าไปในปอด 

        ดังนั้นจึงต้องอาศัยอุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยควบคุมในการพ่นยา หรือที่เรียกว่า "สเปเซอร์ (Spacer)" เป็นกระบอกกักเก็บยาที่มีลักษณะครอบกับใบหน้า มีวาล์วเปิด-ปิด ควบคุมทิศทางของอากาศหายใจ ทำให้พ่นยาได้ง่ายขึ้น แต่อุปกรณ์ดังกล่าวนั้น มีราคาแพงและต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ตกราคาเครื่องละ 1,200-1,400 บาท ผู้ป่วยบางคนก็ไม่มีเงินในการซื้อ จึงคิดค้นวิธีประดิษฐ์สเปเซอร์ที่ทำได้ด้วยตัวเองขึ้นมา เรียกว่า "DIY Spacer" 

       "อุปกรณ์ Spacer" ต้องมีวาล์วปิดเปิด โดยวาล์วจะเปิดเมื่อเด็กสูดหายใจเอาตัวยาเข้าไป แต่เมื่อเด็กหายใจออกวาล์วจะต้องปิดเพื่อไม่ให้ลมหายใจที่ปล่อยออกมาไปรวมกับตัวยาในกระบอก ซึ่งในการออกแบบทีมวิจัยนำลิ้นวาล์วในอุปกรณ์สูบน้ำด้วยมือ หรือไซฟ่อนปั๊ม มาเป็นตัวควบคุมทิศทางการไหลของลมหายใจให้ไปทางเดียว เมื่อสูดหายใจเข้าตัวยาก็จะไหลเข้าปอด และเมื่อปล่อยลมหายใจออกอากาศจะไหลออกทางช่องเปิดด้านบน ไม่ไหลกลับเข้าไปผสมกับยา ที่สำคัญขวดพลาสติกที่จะนำมาประดิษฐ์ควรเรียบและปริมาตรของท่อต่อ หรือ Spacer ไม่ควรต่ำกว่า 250 มิลลิลิตร และไม่ควรสั้นกว่า 4 เซนติเมตร เพื่อขนาดโมเลกุลของตัวละอองยาที่เหมาะสม"

        ด้วยคุณสมบัติพิเศษของ DIY Spacer ทำให้ในปี 2556 อุปกรณ์ช่วยพ่นยาชนิดทำได้ด้วยตนเองหรือ "DIY Spacer (Do it yourself)" สามารถคว้ารางวัลระดับเหรียญทองเกียรติยศ ประเภท "อุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อผู้ป่วยด้อยโอกาส" จากงาน 41st International Exhibition of Innovations of Geneva" ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส และรางวัล Special Prize จากประเทศไต้หวัน และรางวัลเหรียญเงิน "SIIF 2012" กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี  "ความสำเร็จในการประดิษฐ์อุปกรณ์ช่วยพ่นยาส่วนหนึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการพึ่งพาตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาค่อนข้างสูง" รศ.พ.ญ.อรพรรณกล่าว


       โดยส่วนแรกที่เป็นกระบอกกักเก็บยา ก็ใช้ขวดน้ำในการดัดแปลง ส่วนที่สองคือลิ้นปิด-เปิด ก็ใช้ไชฟ่อนปั๊มทำเลียนแบบ และส่วนที่ 3 หน้ากากแนบหน้าก็ใช้ขวดน้ำมาดัดแปลงเช่นกัน ซึ่งสนนราคาอยู่ที่ 30-40 บาทเท่านั้น ส่วนประสิทธิภาพก็ใช้ได้ดีผลการรักษาไม่แตกต่างจากการใช้ Spacer แต่ทั้งนี้อาจจะไม่แข็งแรงคงทนและอายุใช้งานค่อนข้างสั้นประมาณ 3-6 เดือน  อย่างไรก็ดีทางชมรมฯ ได้ทำ DIY Spacer เพื่อแจกจ่ายคนไข้ไปแล้วกว่า 3 หมื่นราย และจะผลิตเพื่อแจกจ่ายให้มากขึ้นกว่าเดิม พร้อมเน้นสอนให้ผู้ป่วยหรือคนที่สนใจผลิตอุปกรณ์ชิ้นนี้ขึ้นมาเองได้ 


ดูวิธีการทำแบบง่ายๆ ตามคลิป