วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

5 เคล็ด(ไม่)ลับ เพิ่มศักยภาพให้ตัวเอง เก่งขึ้นจนหลายบริษัทต้องแย่งตัว

ทำงานในที่เดิมมานาน หรืออยากหาอะไรทำเสริมหรือลองทำใหม่ๆ บ้าง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ลองดูเคล็ด (ไม่)ลับตามนี้เลยครับ เชื่อว่า ถ้านำไป apply ปรับใช้ สักวันต้องเป็นของคุณแน่ๆ  

  1. เพิ่มทักษะด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เพราะถือเป็นภาษาสากลที่ใช้กันได้ทั่วโลก คนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ ถือว่ามีโอกาสในการก้าวหน้าทางอาชีพมากกว่าคนที่ไม่สามารถใช้ได้เลย และหากคุณสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีอยู่แล้ว การฝึกฝนภาษาที่ 2 ภาษาที่ 3 อย่างภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น หรือภาษาอื่น ๆ จะยิ่งช่วยเพิ่มคุณค่า และโอกาสให้แก่คนทำงานได้เป็นอย่างดี
       
  2. เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นไปอีก หลายคนอยากได้เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นจึงเลือกเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น แต่ก็จำเป็นต้องเลือกสาขาที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ เพราะหลาย ๆ บริษัทจะปรับฐานเงินเดือนให้ก็ต่อเมื่อพนักงานเลือกเรียนสาขาที่เกี่ยวข้องกับงานที่รับผิดชอบเท่านั้น แต่ถ้าคุณสนใจที่จะเพิ่มศักยภาพให้ตัวเองแนะนำว่าให้เลือกเรียนสาขาที่เป็นที่ต้องการในตลาด ไม่ว่าจะเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องกับ Digital Online, Animation, พลังงานทางเลือก เป็นต้น
  3. มีความเชียวชาญในงานที่ตนเองทำ เช่น job description ระบุไว้เป็น 10 ข้อ แต่คุณทำได้เกินกว่านั้น หรือคุณเป็นนักการตลาด ที่สามารถคิดแคมเปญใหม่ ๆ ได้ สามารถใช้โปรแกรมออฟฟิศในการพรีเซนต์งานได้ดีเยี่ยม รวมทั้งสามารถใช้โปรแกรมกราฟฟิกในการทำตัวอย่างโบชัวร์ หรือโปสเตอร์แคมเปญได้ด้วยก็จะถือเป็นการเพิ่มคุณค่าให้ตัวของคุณเอง
  4. เพิ่มเติมความสามารถให้รอบด้านขึ้น เรียนรู้ทักษะการทำงานเพิ่มเติม ซึ่งคุณควรเลือกเรียนรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่สามารถนำมาใช้ได้กับงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คุณทำงานด้านไอทีแต่ก็สามารถทำงานดีไซน์อย่าง Graphic, Application หรือ Infographic ได้ คุณเป็นตากล้องในสายงานบันเทิง แต่ก็สามารถตัดต่อวิดีโอ ถ่ายภาพ จัดการระบบเครื่องเครื่องเสียงได้ อย่างนี้ถือเป็นการเพิ่มความสามารถพิเศษในตัวคุณเอง ทำให้มีศักยภาพการทำงานที่สูงขึ้นได้
     
  5. หางานใหม่ เพราะการทำงานในที่เดิม ๆ แบบเดิม ๆ อาจจะไม่สามารถทำให้คุณพัฒนาศักยภาพในการทำงานได้มากพอ การหางานใหม่จะเป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงาน และเพิ่มคุณค่าให้คนทำงานอย่างคุณ ซึ่งการทำงานที่เดิมนั้นอาจมีโอกาสในการปรับขึ้นเงินเดือนน้อยกว่าการสมัครงานใหม่ เพราะโดยปกติการปรับเงินเดือนจะอยู่ในอัตรา 3-10% แต่ในการเปลี่ยนงานนั้น จะได้เงินเดือนใหม่ที่สูงกว่า ทั้งนี้ก็ต้องระวังเพราะการเปลี่ยนงานบ่อย ๆ อาจจะทำให้เสียประวัติการทำงาน หลังจากอ่านเคล็ด(ไม่)ลับ 5ข้อนี้แล้ว ก็อย่าลืมนำไปปรับใช้ให้เข้ากับตัวเองมากที่สุดนะคะ ไม่แน่คุณนั่นแหละที่กำลังเป็นพนักงานที่บริษัทหลายๆที่พยายามแย่งตัวอยู่ก็เป็นได้

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

เพิ่มประสิทธิภาพของความจําง่ายๆ สไตล์คนทํางาน

เพิ่มประสิทธิภาพของความจําง่ายๆ สไตล์คนทํางาน


คนทํางานอย่างเราๆ เคยเป็นไหม? ที่ “ปริมาณงาน” มากกว่า “เวลา” ที่เราจะทํางานได้หมด เดี๋ยวก็ลืมทําโทร.ประสานงานลูกค้า ลืมส่งเอกสาร ลืมตอบอีเมลสารพัด วันนี้เรามีเทคนิค

“การเพิ่มประสิทธิภาพของความจํา” แบบง่ายๆ มาฝากกัน!

1.จดลิสต์ดีกว่าไหม

การทํารายการ “สิ่งที่ต้องทํา” ในแต่ละวัน จะทําให้เราไม่หลงลืมประเด็นที่เราต้องทํา เคล็ดลับง่ายๆ คือ
เมื่อทําเสร็จก็ใช้ปากกาฆ่ารายการนั้นทิ้งไป ง่ายนิดเดียว

2.เมื่อเปิดอีเมล ให้ตอบทันที!

ถ้าใครเจอปัญหาขี้ลืม ลืมตอบอีเมลลูกค้า เคล็ดลับง่ายๆ คือ เมื่อเปิดอีเมล ให้ตอบทันทีอย่าค้างไว้
ข้อนี้กันลืมได้เป็นอย่างดีจ้า

3.พักสายตาบ้าง

การจ้องคอมพ์นนานทั้งวันไม่ส่งผลดีต่อสายตาเรานะคะ ดังนั้นใน 1 ชั่วโมงต้องพักสายตาบ้าง การรักษาสุขภาพของตาก็ช่วยให้ทํางานของสมองมีประสิทธิภาพมากขึ้นเหมือนกัน!

4.Take a Nap

ง่ายๆ คือถ้า “ง่วงก็งีบนอน” การฝืนทํางานต่อไป จะลดประสิทธิภาพของความจําและการทํางาน

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

5 เคล็ดลับการเริ่มต้นวันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

5 เคล็ดลับการเริ่มต้นวันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

 1.  จัดระเบียบการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน

เพื่อการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน การวางระบบการทำงานและการจัดลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  เพราะทำให้ประหยัดเวลาและสะสางงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.  กำหนดระยะเวลาของงานแต่ละชิ้นอย่างชัดเจน

การกำหนดเวลาการทำงานแต่ละชิ้นอย่างชัดเจน จะสร้างนิสัยของนักบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี


3. จัดโต๊ะทำงานให้เป็นสะอาดตา

เคยเป็นไหม? ที่เมื่อถึงเช้าวันจันทร์แล้วไปถึงที่ทำงานเห็นโต๊ะที่รก เอกสารขวางหูขวางตาทำให้พลังในการทำงานน้อยลง การจัดโต๊ะทำงานให้สะอาดและเป็นระเบียบจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก

4. ไม่เถลไถลไปกับสิ่งรอบกาย

ใครเคยเล่นเฟซบุ๊กจนเพลินแล้วงานไม่เสร็จบ้าง หรือเล่นไลน์จนไม่สมาธิทำงาน สื่อออนไลน์จะเกิดประโยชน์ถ้าเราใช้อย่างถูกเวลา คุณต้องจัดและแบ่งเวลาในการเล่นเพื่อไม่ให้กวนเวลาจนเกินไป

5. ลงมือทำทันที!

เคล็ดลับทุกอย่างจะไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดี ถ้าคุณไม่เริ่มจัดการงานตรงหน้าให้เสร็จ ตั้งเป้าหมายของงานแต่ละชิ้นแล้วทำไปทีละอย่าง SSO Channel ขอเอาใจช่วยนะครับ

Google+

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

Digital Economy เศรษฐกิจดิจิตอล คนไทยได้อะไร

เมื่อหลายวันก่อนได้ดูรายการ "เดินหน้าประเทศไทย" และได้ฟังการอธิบาย เศรษฐกิจดิจิตอล โดย ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ รู้สึกอยากแบ่งปันจนได้พบบทความที่ตีพิมพ์ใน คอลัมน์ “อาหารสมอง” นสพ.กรุงเทพธุรกิจ จึงขอนำมาแบ่งปันกัน
******************************************************

Digital Economy

โดย ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ  (อธิการบดี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์)
ประธานกรรมการคณะกรรมการบริหาร สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)


คนไทยรู้จักคำว่า Digital Economy เมื่อรองนายกรัฐมนตรีท่านใหม่ผู้รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ คือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล แถลงนโยบายว่าต้องสนับสนุนให้เกิด Digital Economy ขึ้นเพื่อเปลี่ยนรูปภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการดั้งเดิมของเรา ลองมาดูความหมายของคำนี้กัน

Digital Economy หมายถึงเศรษฐกิจที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอที (ซึ่งมีอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก) เป็นปัจจัยสำคัญ สิ่งที่เราเรียกว่า E-Commerce หรือการค้าขายกันทางอินเตอร์เน็ตคือลักษณะหนึ่งของ Digital Economy

ผู้บัญญัติศัพท์นี้ขึ้นเป็นคนแรกคือ Don Tapscott ผู้เขียนหนังสือชื่อ “The Digital Economy : Promise and Peril in the Age of Networked Intelligence” ใน ปี 1995 หนังสือเล่มนี้เป็นเบสส์เซลเลอร์ระดับชาติภายในเวลา 1 เดือน และคงความเป็นหนังสือยอดฮิตอยู่หลายเดือน ในที่สุดก็ได้เป็นหนังสือด้านไอเดียธุรกิจที่ฮิตอันดับ 1 ในปี 1996

Tapscott ชี้ให้เห็นว่าอินเตอร์เน็ตจะเปลี่ยนวิถีของการค้าขายอย่างชนิดที่โลกไม่เคย เห็นมาก่อนโดยจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที กฎกติกาและกฎหมาย การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการปรับตัวและปรับทัศนคติของประชาชน

Digital Economy มีชื่ออื่นอีกเช่น The Internet Economy / The New Economy หรือ Web Economy อย่างไรก็ดีชื่อที่คนนิยมที่สุดคือ Digital Economy

Digital Technology เป็นฐานสำคัญของไอทีซึ่งอาศัยการใช้เลข 0 และ 1 ซึ่งอยู่ในลักษณะของ Binary System (ถ้าเป็น Decimal System ก็จะเป็นฐาน 10 กล่าวคือประกอบด้วยเลข 0 ถึง 9) ในการส่งสัญญาณ ซึ่งการส่งสัญญาณ 0 และ 1 ส่วนใหญ่กระทำผ่านใยแก้วนำแสง (Optic Fiber)

ไอที คือการผนวกเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ากับเทคโนโลยีโทรคมนาคม สังคมที่มีโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม (เช่นเครือข่ายใยแก้วนำแสงเป็นตัวกลางนำเสียง ข้อมูลและภาพสู่โทรศัพท์และอุปกรณ์ไอทีทั้งหลาย / ชุมสาย / เสาส่งสัญญาณ / สถานีรีเลย์สัญญาณ ฯลฯ) ที่มีคุณภาพและครอบคลุมกว้างขวาง มีการบริหารจัดการเครือข่ายที่ดี ตลอดจนมีการประยุกต์ซอฟต์แวร์ และมีกลไกในการประสานการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ดี จะเป็นกุญแจสำคัญสู่การเป็น Digital Economy

การเป็น Digital Economy ทำให้เกิดสิ่งต่อไปนี้


  1. การลดต่ำลงของต้นทุนในการประกอบการไม่ว่าในด้านการผลิต ด้านการขาย (ลองจินตนาการสังคมที่ไม่มีอีเมล์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มี Conference Call ดูว่าจะมีโสหุ้ยหรือ Transaction Cost ในการดำเนินการสูงเพียงใด)
  2. อำนวยให้เกิดการต่อยอดในการผลิตสินค้าและบริการใหม่ออกสู่ตลอดเพื่อสนอง ความต้องการของผู้บริโภค ตัวอย่างเช่นการได้รับข้อมูลข่าวสารในเรื่องต่าง ๆ จากแหล่งอื่น ๆ ทั่วโลกเพื่อนำมาช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ฯลฯ
  3. การขยายตัวอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นของ E-commerce ท่ามกลางสภาวการณ์ที่ต้นทุนในการดำเนินการลดต่ำลง เช่น การขายของทางอินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องมีร้านค้า ความสะดวกของผู้ซื้อที่ไม่ต้องเดินทางไปหาซื้อของ เกษตรกรเปิด Application และรู้ได้ทันทีจากตำแหน่ง GPS ที่ตนอยู่ว่าในพื้นที่นั้นในปีนั้นควรปลูกพืชอะไร ฯลฯ
  4. ขยายการจ้างงานและสร้างการจ้างงานในลักษณะใหม่ ๆ อันเป็นผลจากการเกิดสินค้าการตลาดและรูปแบบการค้าขายใหม่ เช่น นักกลยุทธ์การตลาดทาง social media ที่ปรึกษา E-commerce นักโฆษณาสินค้าทาง Social Media ฯลฯ
  5. อำนวยให้เกิดการลงทุนธุรกิจข้ามพรมแดนมากยิ่งขึ้น เช่น การจองโรงแรมและทริปท่องเที่ยว การลงทุนซื้อหุ้นต่างประเทศ การค้าขายเงินตราต่างประเทศ ฯลฯ
  6. สนับสนุนการเรียนรู้ของประชาชนซึ่งช่วยส่งเสริมคุณภาพของมนุษย์และแรงงาน เช่น การเรียนการสอนผ่านอินเตอร์เน็ต / E-Learning ฯลฯ

          ประการสำคัญ Digital Economy อำนวยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคต่างๆ มีมูลค่าสูงยิ่งขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังสนับสนุนความแข็งแกร่งในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดอันเนื่องมาจาก การมีข่าวสารข้อมูลที่กว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น

          ภาค Hospitality ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจ อาหาร บันเทิง การเดินทาง wellness (นวด สปา รักษาพยาบาล) ซึ่งกำลังจะมีความสำคัญในภูมิภาคของ CLMV (Cambodia-Laos-Myanmar-Vietnam) จีนตอนใต้และไทยมากยิ่งขึ้นจะได้อานิสงส์เป็นอย่างมากจากการเป็น Digital Economy

         ปัจจุบันบ้านเรามีเครือข่ายใยแก้วนำแสงอย่างกว้างขวางไปถึงประชาชน 1 ใน 3 ของอำเภอทั้งหมด และตำบลใหญ่ ๆ เครือข่ายโทรคมนาคมของเราก็กระจายตัวไปเกือบทั่วประเทศอีกทั้งมีการผนวก กิจกรรมเศรษฐกิจเข้ากับไอทีจนอาจเรียกได้ว่าเราเป็น Digital Economy ในระดับหนึ่งในภาครัฐเองสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) ซึ่งทำหน้าที่ส่งเสริมการใช้ไอทีของงานภาครัฐก็วางโครงสร้างพื้นฐานของ อินเตอร์เน็ตของภาครัฐไว้กว้างขวาง และสามารถนำเอาฐานข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐจำนวนหนึ่งมารวมกันไว้เพื่อความสะดวกในการใช้ของประชาชน หน่วยงานของรัฐชื่อสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) ก็ได้วางรากฐานกฎหมายของการต่อยอดขึ้นไปเป็น Digital Economy ไว้พอควรแล้ว เช่นเดียวกับองค์กรของภาครัฐที่สนับสนุนการผลิตซอฟต์แวร์ และการใช้ไอทีในการผลิตและให้บริการ

          ถ้ารัฐบาลเอาจริงในเรื่องการสร้าง Digital Economy ก็จะทำให้สามารถต่อยอดขึ้นไปจากฐานที่มีอยู่ได้เป็นอย่างดีด้วยการประสานงาน ของหน่วยงานต่าง ๆ เข้าด้วยกัน มีแผนพัฒนาเป็นขั้นตอนโดยมีลำดับความสำคัญ อะไรที่ขาดก็เติมให้เต็มและร่วมใช้ทรัพยากรกัน ก็เชื่อได้ว่าจะทำได้สำเร็จในระดับหนึ่งในเวลาพอควร และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันและอนาคต

          ปัจจุบัน Tapscott คนแคนาดาผู้ประดิษฐ์คำว่า Digital Economy เป็นกูรูสำคัญของโลกในด้านการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ เขาเขียนหนังสือธุรกิจร่วมกับคนอื่นรวม 15 เล่ม หลายเล่มดังระดับโลก เมื่อไม่นานมานี้กลุ่ม Thinkers50 ได้เรียงลำดับท๊อป 50 คน ในโลกซึ่งยังมีชีวิตอยู่ที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดด้านธุรกิจมากที่สุด ผลก็คือ Tapscott อยู่ในอันดับที่ 4

ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นและยินดีกับความสำเร็จของ Tapscott ผู้เกิดวันเดียวเดือนเดียวและ ปีเดียวกับผู้เขียน จำนวนนาทีที่เราสองคนมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่างกันอย่างมากก็ไม่เกิน 60 x 24 หรือ1,440 นาที

ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” นสพ.กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 23 ก.ย.2557

เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ ThaiPublica เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2557



Google+

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

แนะนำ...วิธีตรวจสอบข้อมูลเงินประกันสังคมของตัวเองผ่านเว็บไซต์

เป็นกระทู้แนะนำเลยค่ะ สำหรับผู้ประกันตน วิธีตรวจสอบข้อมูลเงินประกันสังคม ของตัวเองผ่านเว็บไซต์
เห็นว่าเป็นข้อมูลที่ดีและควรจะแชร์ให้กับเพื่อนๆผู้ประกันตน จึงขอนำมาแบ่งปัน โดย copy ต้นฉบับมาเลยนะคะ


แนะนำ...วิธีตรวจสอบข้อมูลเงินประกันสังคมของตัวเองผ่านเว็บไซต์

*****************************************************************************

บางคนโดนหักเงินประกันสังคมไปทุกเดือน ก็ไม่รู้ว่าเงินนี้ไปถึงไหนยังไง วันนี้เลยขอแนะนำวิธีตรวจสอบข้อมูลด้วยตัวเองครับ*** 

1. เข้าเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม http://www.sso.go.th คลิกที่ปุ่ม Login ที่มุมขวามือด้านบนเพื่อเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิก


2. หากเป็นการใช้งานครั้งแรก ให้คลิกที่ "สมัครสมาชิก" แต่ถ้าเป็นสมาชิกแล้ว ข้ามไปข้อ 6


3. กรอกข้อมูลผู้ใช้ ซึ่งเราสามารถกำหนดได้เอง โดยดูคำแนะนำที่ระบุในเว็บไซต์


4. กรอกข้อมูลส่วนตัว


5. ระบบจะส่งข้อมูลยืนยันการเป็นสมาชิกไปที่อีเมล์ที่เราระบุ เข้าไปดูที่อีเมล์นั้น ถ้าไม่พบในกล่องจดหมาย อาจจะเข้าไปอยู่ที่กล่องอีเมล์ขยะ ซึ่งระยะเวลาที่จะได้ลิงค์ยืนยันการสมัครเข้าใช้งาน ไม่เกิน 24 ชม. (บางคนอาจจะ 5-10 นาทีก็ได้แล้ว แต่ไปอยู่ในกล่องเมล์ขยะ)


6. คลิกที่ลิงค์ในอีเมล์เพื่อเข้าสู่ระบบด้วยข้อมูลผู้ใช้และรหัสผ่านที่เรากำหนด หรือคลิกที่ปุ่ม Login ในหน้าแรกเพื่อกรอกข้อมูลผู้ใช้และรหัสผ่าน



7. คลิกที่ปุ่ม Login อีกครั้งเพื่อดูว่าเราเข้าสู่ระบบรึยัง ถ้าเข้าได้แล้ว จะปรากฏแถบยินดีต้อนรับเข้าสู่ระบบ


8. จากนั้นมาที่เมนู "ตรวจสอบข้อมูล" แล้วเลือก "สำหรับผู้ประกันตน" เพื่อดูข้อมูลต่างๆของเรา

 


9. จะเข้ามาที่หน้าข้อมูลที่เราสามารถตรวจสอบได้

10. ลองเลือก "ข้อมูลการส่งเงินสมทบ" ก็จะแสดงข้อมูลปีล่าสุด จะปรากฏจำนวนเงินที่เรานำส่งแต่ละเดือน ซึ่งถูกแยกเป็น 3 ส่วนคือ เจ็บป่วย ชราภาพ และว่างงาน ซึ่งสามารถดูย้อนหลังไปปีก่อนๆได้ โดยเปลี่ยน พ.ศ.ด้านบน


11. ต้องการดูข้อมูลอื่นก็คลิกที่ "สำหรับผู้ประกันตน" ที่ด้านบน



12. ลองดูว่าถ้าเราอายุครบ 55 ปีตามเกณฑ์ เราจะได้เงินเท่าไหร่
      คลิกที่ "การคำนวณเงินสงเคราะห์ชราภาพ"


จะแสดงข้อมูลส่วนแรก กรณีที่จ่ายเกิน 12 เดือน ก็จะมีทั้งส่วนที่เราสมทบ นายจ้างสมทบ และรัฐบาลสมทบ (เราสมทบ 35,093 บาท นายจ้างและรัฐสมทบมาอีกเท่าตัว)



นอกจากนี้ ก็จะมีตารางคำนวณผลประโยชน์ที่ได้รับเพิ่มเติมให้ด้วย


จะเห็นว่า เบ็ดเสร็จแล้วเราจ่ายประกันสังคมส่วนของกรณีชราภาพไปทั้งสิ้น 35,093 บาท แต่เราจะได้กลับคืนมาตั้ง 84,218 บาท

หมั่นตรวจสอบเงินของเราเพื่อรักษาสิทธินะครับ


  • ปล. มีผู้ประกันตนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิในเงินสงเคราะห์ชราภาพก็เลยไม่ได้ยื่นเรื่องขอรับเงิน ทำให้เสียสิทธิที่ควรได้เป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลยนะครับ
  • ปล.2 ถ้าเกิดสิทธิที่จะได้รับเงินสงเคราะห์ชราภาพ (บำเหน็จ/บำนาญ) ให้ไปยื่นเรื่องที่สำนักงานประกันสังคมเขตใดก็ได้ที่สะดวก ภายใน 1 ปีนับตั้งแต่ที่เกิดสิทธิ มิฉะนั้นอาจเสียสิทธิรับเงินก้อนนี้ก็ได้ครับ โดยติดต่อขอรับแบบ สปส 2-01  พร้อมเตรียมสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาสมุดบัญชีธนาคารไปด้วย จะไปยื่นเอง หรือให้ผู้อื่นไปยื่นแทนก็ได้ครับ
  • ปล.3 เงินที่จะได้คืนตามตารางที่คำนวณในเว็บไซต์ จะได้คืนเป็นก้อนเดียวครั้งเดียว (บำเหน็จ) มีเงื่อนไขคือต้องส่งเงินสมทบไม่ถึง 180 เดือน แต่ถ้าส่ง 180 เดือนขึ้นไป จะได้รับเป็นรายเดือน (บำนาญ) ไปตลอดชีวิต รับเป็นเงินก้อนไม่ได้ (มีสูตรคำนวณจำนวนที่จะได้รับแต่ละเดือนในเว็บไซต์)
  • ปล.4 ตอนนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบข้อมูลของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 (ไม่ใช่ลูกจ้าง) เลยยังไม่สามารถเช็คข้อมูลผ่านหน้าเว็บได้
  • ปล.5 กรณีที่มีปัญหาในการสมัครสมาชิกเว็บไซต์ หรือไม่สามารถทำการ Login ได้ แนะนำให้ติดต่อ โทร. 02-9562400 ในวันและเวลาราชการ 08.30-16.30 น. แต่ถ้ามีข้อสงสัยอื่น ๆ เกี่ยวกับประกันสังคม ติดต่อสายด่วน 1506 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุด (มีคนรับสายตลอด)


ขอบคุณที่มา :  แนะนำ...วิธีตรวจสอบข้อมูลเงินประกันสังคมของตัวเองผ่านเว็บไซต์

แก้กม.ประกันสังคม เพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนมากขึ้น

แก้กม.ประกันสังคม เพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนมากขึ้น

ปลัดกระทรวงแรงงาน เผยความคืบหน้าแก้กฎหมายประกันสังคม คาดกลางก.พ. นำเข้า กมธ.สนช.ได้ แจงเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนหลายประการ เพิ่มสงเคราะห์บุตรจาก 2 คน เป็น 3 คน เหมาจ่ายคลอดบุตรไม่จำกัดจำนวนครั้ง คุ้มครองกรณีฆ่าตัวตาย กำหนดค่าใช้จ่ายช่วยเหลือเบื้องต้นทางการแพทย์โดยไม่พิสูจน์ถูกผิด



นายนคร ศิลปอาชา ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ได้รับรายงานความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ที่มีการแก้ไขไป 45 มาตราจาก นางปราณิน มุตตาหารัช เลขาธิการประกันสังคมว่า ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปมาก โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม ได้พิจารณาครบทั้ง 45 มาตราแล้ว คาดว่าไม่เกินกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2558 จะสามารถนำเข้าคณะกรรมาธิการสามัญกิจการ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้

ทั้งนี้ การแก้กฎหมายดังกล่าวนับเป็นส่วนสำคัญที่เอื้อต่อการปฏิรูประบบประกันสังคมสำหรับสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนได้สิทธิ์เพิ่มมากขึ้น ภายหลังจากที่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ อาทิเช่น

เพิ่มสิทธิด้านสุขภาพในการป้องกันโรค

ขยายระยะเวลาในการยื่นผลประโยชน์ทดแทน 7 ประการ อาทิ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย

เพิ่มเรื่องค่าส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค จากเดิมไม่มี

การกำหนดค่าใช้จ่ายเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้ประกันตนที่ได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ เป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้นที่จะมีให้โดยไม่ดูว่าฝ่ายใดผิดฝ่ายใดถูก โดยหากเป็นการทำงานตอบแทนเป็นนายจ้าง ลูกจ้างกันจริง จะครอบคลุมด้วย

และให้ผู้ประกันตนได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีได้รับความเสียหายในการรับบริการทางการแพทย์ ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้เสียหายทางการแพทย์


  • กรณีคลอดบุตร ดำเนินการให้เงินเหมาจ่ายคลอดบุตรโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง
  • กรณีสงเคราะห์บุตร สามารถรับเงินทดแทนสงเคราะห์บุตรได้ 3 คนจากเดิม 2 คน
  • กรณีว่างงาน ให้ความคุ้มครองสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานแก่ผู้ประกันตน เพิ่มในกรณีนายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวเพราะเหตุสุดวิสัยโดยไม่มีการเลิกจ้างจะมีการจ่ายประโยชน์ทดแทนให้เพื่อเป็นการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกจ้าง
  • กรณีเจ็บป่วยเรื้อรัง ไม่สามารถจ่ายเงินสมทบได้ ในร่างใหม่กำหนดให้ผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรัง ถึงแม้ไม่มีการสมทบจะได้สิทธิประโยชน์ตรงนี้ขึ้นมา โดยจะได้เงินสงเคราะห์
  • หากเกิดกรณีเสียชีวิต ผู้จงใจให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ กรณีทุพพลภาพและตาย จากเดิมจะไม่คุ้มครองแต่ในร่างฯ ใหม่จะให้มีการคุ้มครอง
  • กรณีทุพพลภาพ จากเดิมเมื่อแพทย์ตรวจแล้วจะต้องมีการสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไปถึงจะเรียกว่าผู้ทุพพลภาพ 
    ร่างฯ ใหม่ไม่ต้องสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานถึงร้อยละ 50 จะถือว่าเป็นผู้ทุพพลภาพด้วย แต่ว่าในด้านการจ่ายประโยชน์ทดแทนอาจจะไม่ถึง 50% อาจจะลดหย่อนลงบ้างแต่ถือว่าให้สิทธิ์ผู้เจ็บป่วยที่ไม่ถึงเกณฑ์ มีการขยายระยะเวลาการยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนจากเดิมเพียง 1 ปี เป็น 2 ปี ขยายความคุ้มครองไปที่ลูกจ้างส่วนราชการ ชั่วคราวทุกประเภท "ลูกจ้างชั่วคราว" ให้ครอบคลุมถึงลูกจ้างชั่วคราวทั้งหมดให้ได้รับสิทธิประโยชน์ ส่วนการจ้างเหมาบริการ สัญญาปีต่อปี ฯลฯ เป็นต้น


ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม ณ เดือนธันวาคม 2557  มีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม จำนวนทั้งสิ้น 13,625,658 คน

  • แบ่งเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 จำนวน 10,029,777 คน 
  • ผู้ประกันตน มาตรา 39 จำนวน 1,124,765 คน 
  • ผู้ประกันตน มาตรา 40 จำนวน 2,471,116 คน

    SSO Channel คลิป vdo ประกันสังคม : ปรับเปลี่ยน พัฒนา เพื่อผู้ประกันตน 

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

เปิดศูนย์บริการ Smart Job Center จัดหางานเพื่อคนไทย ลดอัตราการว่างงานในปี 2558


พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิด ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) 

โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ให้การต้อนรับพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงานและร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงและได้เยี่ยมศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย เพื่อให้กระทรวงแรงงานได้ทำให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศในการที่จะหางานทำ



หน้าที่ศูนย์บริการ Smart Job Center

  • ให้บริการคนว่างงาน หรือคนจะเปลี่ยนงาน หรือคนที่ทุพพลภาพ อยากจะหางานทำสามารถเข้ามาได้เลยที่นี้ 
  • เป็นศูนย์ของการจัดหางานโดยเฉพาะ 
  • ผู้ที่จะไปทำงานต่างประเทศก็สามารถมาดูได้ว่าประเทศไหน เปิดรับตำแหน่งใด เพราะมีตำแหน่งให้ดูได้ทันที 
  • ใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียว สามารถพูดคุยกับนายจ้างได้เลยว่าเราจะทำงานที่ไหน 
  • เป็น One Stop Service ที่นัดพบระหว่างนายจ้าง ลูกจ้าง
  • ส่งเสริมให้ประชาชนสามารถมีงานทำได้ และสามารถเปลี่ยนงานได้  



Post by SSO Channel.

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

นโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล Digital Economy

นโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล Digital Economy


เมื่อปี 2557 หลังจากเรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างดี "เศรษฐกิจดิจิตอล Digital Economy" ในรัฐบาลนายประยุทธ จันทร์โอชา  เรามาทำความเข้าใจกันว่าเศรษฐกิจดิจิตอล นี่คืออะไร และคนไทยจะได้อะไรจากนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอลนี้

นโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล Digital Economy ของ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ตั้งเป้าวางรากฐานเศรษฐกิจไทยไปสู่โลกดิจิตอลที่ไร้พรมแดน ถือเป็นนโยบายใหม่เอี่ยมของประเทศไทยที่ผ่านมาเทคโนโลยีการสื่อสารไทยถูกถูลู่ถูกัง ไม่ค่อยพัฒนาไปไหนมานานแล้ว ไม่ว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ ทีวีดิจิตอล ในมือของ กสทช. ที่ยังใช้เทคโนโลยีที่ล้าหลัง

หน่วยงานที่ขานรับฉับไวต้องยกให้ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ กระทรวงไอซีที ของ รัฐมนตรีพรชัย รุจิประภา เตรียมเปลี่ยนชื่อ กระทรวงไอซีที เป็น กระทรวงดิจิตอล อีโคโนมี กลายเป็นกระทรวงทันสมัยขึ้นมาทันที

การสร้าง เศรษฐกิจดิจิตอล ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะต้องสร้าง โครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิตอล ที่เป็นอินฟราสตรัคเจอร์ขึ้นมาเสียก่อน ซึ่งปัจจุบันไทยยังไม่พร้อมและแยกกันอยู่หลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงไอซีที กสทช. เป็นต้น งานหินขั้นสำหรับ “หม่อมอุ๋ย” คือจะต้องรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับดิจิตอลอีโคโนมีทั้งหมด ให้ยุบรวมเป็นหน่วยงานเดียว ไม่ใช่แยกกันทำอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

วันนี้ โครงสร้างพื้นฐานดิจิตอลของไทยยังค่อนข้างล้าหลังมาก เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย สิงค์โปร์ โดยเฉพาะ โทรศัพท์ 3 จี ที่อยู่ในการกำกับดูแลของ กสทช. ที่กำลังมั่วอยู่กับ ทีวีดิจิตอล ที่ตั้งกฎเกณฑ์มั่วไปหมด ไม่รู้เป็น 3 จีระบบอะไร การดาวน์โหลดข้อมูลก็ช้าเป็นเต่าคลาน ระบบเสียงก็ขาดๆหายๆ ไปอยู่มุมไม่ดี สายก็ขาด หรือโทร.ไม่ได้ แต่ กสทช. ก็ปล่อยปละละเลยให้เป็นอยู่อย่างนี้ ทั้งที่ผู้บริโภคเสียหาย

หนังสือพิมพ์ The Asian Wallstreet Journal ดิ เอเชียน วอลสตรีท เจอร์นัล ลงข่าว การจัดอันดับ 20 บริษัทยักษ์ใหญ่อินเตอร์เน็ตโลก โดยวัดจากมาร์เก็ตแคปหรือมูลค่าหุ้นในตลาด

อันดับ 1 Google  มีมูลค่าตลาด 390,500 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินบาทก็ประมาณ 12.5ล้านล้านบาท เกือบเท่าจีดีพีประเทศไทย 

อันดับ 2 facebook มีมูลค่าตลาด 193,900 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 6.2 ล้านล้านบาท 

อันดับ 3 Alibaba บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จีน มีมูลค่าตลาด 165,000 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 5.28 ล้านล้านบาท 

อันดับ 4 Amazon.com มีมูลค่าตลาด 149,600 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 4.78 ล้านบาท 

อันดับ 5 Tencent Holding ของจีน มีมูลค่าตลาด 147,600 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 4.72 ล้านล้านบาท

อันดับ 6 Baidu Inc. มีมูลค่าตลาด 73,600 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 2.35 ล้านล้านบาท 

อันดับ 7 ebay.com มีมูลค่าตลาด 63,300 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 2 ล้านล้านบาท 

ส่วน ํYahoo ไปอยู่ อันดับ 9 มีมูลค่าตลาด 42,300 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 1.35 ล้านล้านบาท
Twitter  ไปอยู่ อันดับ 11 มีมูลค่าตลาด 30,000 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 960,000 ล้านบาท

ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่นับบริษัทที่ผลิตและขายสินค้าดิจิตอล เช่น Apple มีมูลค่าตลาด 560,337 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 18 ล้านล้านบาท มากกว่าจีดีพีประเทศไทยทั้งประเทศ มากกว่ามาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นไทยทั้งตลาด และ Microsoft ที่มีมูลค่าตลาด 344,458 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 11 ล้านล้านบาท

ทีมงานนำข้อมูลเหล่านี้มาลงให้อ่านก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นว่า เศรษฐกิจในโลกดิจิตอลยิ่งใหญ่มหาศาลแค่ไหน นี่เพียงยกตัวอย่างมาแค่ 11 บริษัท ก็มีมูลค่าเศรษฐกิจปาเข้าไปถึง 69 ล้านล้านบาท หรือ 5 เท่าของจีดีพีประเทศไทย มากมายมหาศาลแค่ไหนลองไปนับนิ้วดู

การที่ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ มีนโยบายที่จะ วางรากฐานเศรษฐกิจดิจิตอล ขึ้นในประเทศไทย จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องและสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าต้องการให้นโยบายนี้ ประสบความสำเร็จ “หม่อมอุ๋ย” จะต้อง “ผ่าตัดใหญ่” ทั้ง กสทช.และ กระทรวงไอซีที กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายดิจิตอลทั้งหมดไม่งั้นไม่มีทางสำเร็จแน่ เพราะ “ตัวฉุดความเจริญ” มีเยอะจริงๆในประเทศไทย.

ขอบคุณที่มา ลมเปลี่ยนทิศ (ไทยรัฐออนไลน์)

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สมัครประกันสังคม มาตรา 40


ความคุ้มครองประกันสังคม ตามมาตรา 40
แบบสมัครใจ

คุ้มครองแรงงานนอกระบบ เมื่อประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย หรือชราภาพ

การสมัครประกันสังคม มาตรา 40 

  • ไม่ต้องตรวจสุขภาพ
  • มีเงินทดแทน
  • มีบำเหน็จ / บำนาญ

คุณสมบัติผู้สมัคร

  • อายุ 15-60 ปีบริบูรณ์, ไม่เป็น ผู้ประกันตน มาตรา 33,39 และ ไม่เป็นข้าราชการหรือบุุคคลที่ถูกยกเว้นตาม กฎหมายสำนักงานประกันสังคม

เอกสารประกอบการสมัคร

1. แบบการขึ้นทะเบียนการเป็นผู้ประกันตน มาตรา 40 (สปส.1-40)
2. บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้ พร้อมสำเนา



วิธีการนำส่งเงินสมทบ

  1. ผู้ประกันตนตามมาตรา 40  สามารถนำส่งเงินสมทบได้ที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขา ที่ท่านสะดวก
  2. จ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส 7-ELEVEN ได้ทุกสาขา  ไม่เฉพาะเคาน์เตอร์เซอร์วิส 7-ELEVEN เท่านั้น  แต่สามารถชำระได้ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสอื่นๆ ได้ทั่วประเทศ โดยมีค่าธรรมเนียม 10 บาทต่อครั้ง
  3. ชำระได้ที่เคาน์เตอร์ของธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร  โดยมีค่าธรรมเนียม 5 บาทต่อครั้ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2554 เป็นต้นไป
หมายเหตุ   การชำระเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสจะเสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 10 บาท ในส่วนการชำระผ่านธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จะมีค่าธรรมเนียม 5 บาทต่อครั้ง โดยจะได้รับใบเสร็จรับเงินทันที  แต่ผู้ประกันตนต้องนำใบเสร็จรับเงินที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ออกให้  พร้อมสมุดนำส่งเงินสมทบมาตรา 40 ไปติดต่อที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขา  เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ทำการประทับตราในสมุดนำส่งเงินสมทบ  เนื่องจากต้องใช้ประกอบการยื่นเรื่องเมื่อมีการรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ

สถานที่ในการขึ้นทะเบียน

1. สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขา
2. หน่วยบริการเคลื่อนที่
3. สมัครผ่านตัวแทน (เจ้าหน้าที่ประกันสังคม)

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

"สิ่งที่ควรทำ" และ "ไม่ควรทำ" เมื่อลาออกจากงาน

"สิ่งที่ควรทำ" และ "ไม่ควรทำ" เมื่อลาออกจากงาน


ถ้าการลาออกจากงาน เป็นคำตอบสุดท้าย ที่จะทำให้หมดปัญหาที่หนักใจในที่ทำงาน เรามาดูกันว่าสิ่งใดที่มืออาชีพ "ควรทำ" และ "ไม่ควรทำ" เมื่อลาออกจากงานกัน


ขอบคุณภาพ Cr. PresentationX

ชม vdo รายการ ถั่วลันเตา สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับขณะว่างงาน

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ช่องทางการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ

ช่องทางการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ


วัยทำงาน เป็นช่วงวัยที่มีความสำคัญมากที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต คือ ช่วงวัย ของการทำงาน ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ต้องอาศัยแรงกายแรงใจ ในการหาเลี้ยงชีพและครอบครัว เป็นช่วงวัยที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอีกด้วย ในการทำงานนั้นมักจะพบกับสิ่งคุกคามสุขภาพหลากหลายแตกต่างกันในแต่ละอาชีพ ทั้งที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว

เมื่อพูดถึงการเตรียมความพร้อมหลังผ่านพ้นวัยทำงาน หรือ เข้าสู่วัยเกษียณ ทุกๆคนคงมีแผนกันในใจว่าจะออมเงินอย่างไร เพื่อให้มีเพียงพอไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ หรือยามที่ไม่ได้ทำงานแล้ว
จะได้ไม่เป็นภาระของใคร

ซึ่งปัจจุบันก็มีหลายช่องทางทั้งบังคับและสมัครใจ โดยภาครัฐให้ความสำคัญกับเรื่องการออมนี้มาก จึงได้สนับสนุนให้มีช่องทางการออมใหม่ๆ เพื่อให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มรวมทั้งให้ออมเพิ่มขึ้น

มาดูกันว่าปัจจุบันระบบการออมในประเทศไทย มีอะไรบ้างภายใต้แนวทางของ World Bank ซึ่งได้กำหนดเป็นเสาหลักของเงินได้เมื่อยามเกษียณ (Multi-Pillar) แบ่งเป็น 5 เสาหลัก โดยขอสรุปภาพรวมให้เห็น ดังนี้



  • เสาหลักแรก (Pillar 0) หมายถึง สวัสดิการขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นการให้เปล่าจากรัฐแก่ประชาชนทั่วไป ในประเทศไทยตอนนี้มีเพียง เบี้ยยังชีพคนชราและคนพิการ และบำนาญข้าราชการแบบเดิม
  • เสาหลักที่ 1 (Pillar 1) หมายถึง ระบบประกันสังคม  เพื่อบรรเทาความยากจน ได้แก่ กองทุนประกันสังคม ซึ่งเป็นการออมระหว่างแรงงานในระบบภาคเอกชน กับ นายจ้าง และมีรัฐช่วยสมทบ
     
  • เสาหลักที่ 2 (Pillar 2) หมายถึง การออมภาคบังคับ ได้แก่ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งรองรับเฉพาะข้าราชการเท่านั้น โดยมีรัฐซึ่งเป็นนายจ้างช่วยสมทบ จะเห็นได้ว่าในการออมส่วนนี้  ยังไม่ได้รองรับบังคับแรงงานภาคเอกชนทั้งในและนอกระบบ แต่เปิดให้กลุ่มหลังสมัครใจออมตามความสามารถของแต่ละคน ซึ่งจะอยู่ใน Pillar 3
  • เสาหลักที่ 3 (Pillar 3) หมายถึง การออมภาคสมัครใจ ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) รวมถึงการซื้อประกันชีวิตประเภทการออม
  • เสาหลักที่ 4 (Pillar 4) หมายถึง การออมส่วนบุคคล  ที่ไม่อยู่ในรูปกองทุน (Non-Pension fund) ได้แก่ เงินฝากธนาคาร เงินฝากสหกรณ์ รายได้จากการลงทุน เงินได้จากครอบครัวลูกหลานที่ให้มา ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ที่มีมูลค่าซื้อขายได้ (เช่น บ้าน เครื่องประดับ เพชร พลอย ภาพวาด พระเครื่อง หรือแสตมป์ เป็นต้น)

            จากรูปเสาหลักการออมข้างต้น จะเห็นว่า เสาหลักที่ 1- 3 จัดตั้งอยู่ในรูปของกองทุน ที่เรียกกันทั่วไปว่า “Pension fund” ซึ่งหมายถึง กองทุนการออมเพื่อยามเกษียณ แต่เสาหลักแรกที่เป็นศูนย์เพราะยังไม่ถือเป็น Pension fund เนื่องจากแหล่งที่มาของเงิน จะมาจากรายได้ของรัฐฝ่ายเดียวเป็นเงินให้เปล่า
       
    ปัจจุบัน ดูเหมือนระบบการออมหรือสวัสดิการของประเทศไทยเรามีครบทุกเสา แต่ยังไม่ครอบคลุมทุกกลุ่ม เช่น แรงงานนอกระบบหรือผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งมีประมาณร้อยละ 70 ของแรงงานทั้งหมด ที่ยังไม่สามารถเข้าในระบบ Pension fund (Pillar 1-3) ได้ จึงทำให้ภาครัฐสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งเป็นภาคสมัครใจ เพื่อเปิดโอกาสให้แรงงานนอกระบบดังกล่าว สมัครเป็นสมาชิกกองทุนโดยรัฐเป็นผู้จ่ายสมทบให้ ซึ่งตามแผนรัฐบาลจะจัดตั้งกองทุนนี้ภายในไตรมาส 4 ปี 2553 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกาค่ะ
           
      เราก็พอทราบแล้วนะคะว่าระบบการออมในประเทศไทยของเราเปิดให้ออมได้หลายช่องทาง ทั้งภาคสมัครใจและภาคบังคับ ซึ่งการออมแต่ละช่องทางก็ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายสมทบให้หรือการยกเว้นภาษีเงินได้ ทำให้เห็ฯว่า การออมมีแต่ได้ประโยชน์ ดังนั้นอย่ารอช้า มาออมเงินกันดีกว่า เพื่อชีวิตที่ดีในยามเกษียณ 

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วิธีสมัคร ประกันสังคม มาตรา 40

วิธีสมัครประกันสังคม มาตรา 40

วิธีสมัครประกันสังคม มาตรา 40  สำหรับ ผู้ที่ไม่ได้ทำงานประจำ ประกันสังคม สำหรับผู้ไม่ได้ทำงานกับสถานประกอบการ หรือ ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระทุกสาขาอาชีพสามารถเป็นผู้ประกันตนกับทางสำนักงานประกันสังคมได้ ซึ่งมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

วิธีการสมัครประกันสังคม มาตรา 40 

คุณสมบัติในการสมัคร
  1. ต้องเป็นผู้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์  และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์
  2. ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33  และ ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ มาตรา 39

สิทธิประโยชน์พื้นฐาน

  • เงินทดแทนการขาดรายได้ เมื่อเจ็บป่วย  เมื่อนอนโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยในตั้งแต่ 2 วันขึ้นไป  จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จำนวน  200  บาทต่อวัน ไม่เกิน 20 วันต่อปี   เงื่อนไข  จ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 4 เดือน
  • เงินทดแทนการขาดรายได้ เมื่อทุพพลภาพ  รับเงินทดแทนการขาดรายได้จำนวน 500 - 1,000 บาทต่อเดือน  เป็นเวลานานถึง  15  ปี  เงื่อนไข  เงินทดแทนการขาดรายได้ เมื่อทุพพลภาพ  ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือนขึ้นไป
  • เงินค่าทำศพ (เสียชีวิต)  จะได้รับค่าทำศพจำนวน 20,000 บาทต่อราย  เงื่อนไข  จ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือน ภายในระยะเวลา 12 เดือน
  • เงินบำเหน็จชราภาพ   ผู้ประกันตนสามารถรับเงินก้อน เมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์  เงื่อนไข  มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์

ช่องทางการฝากเงินสมทบประกันสังคม

สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขา ที่ท่านสะดวก
จ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส 7-ELEVEN ได้ทุกสาขา ทั่วประเทศ โดยมีค่าธรรมเนียม 10 บาทต่อครั้ง
ชำระได้ที่เคาน์เตอร์ของธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ค่าธรรมเนียม 5 บาทต่อครั้ง

*** อย่าลืม เก็บใบเสร็จทุกครั้ง เพื่อเป็นหลักฐาน ให้เจ้าหน้าที่ประกันสังคม ทำการประทับตราในสมุดนำส่งเงินสมทบ  เนื่องจากต้องใช้ประกอบการยื่นเรื่องเมื่อมีการรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ

เอกสารประกอบการสมัคร

1. แบบการขึ้นทะเบียนการเป็นผู้ประกันตน มาตรา 40 (สปส.1-40)
2. สำเนา บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง หรือ บัตรอื่นที่ทางราชการออกให้

ดาวน์โหลด ใบสมัครประกันสังคม มาตรา 40

ช่องทางการสมัคร 

1. สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขา
2. หน่วยบริการเคลื่อนที่
3. สมัครผ่านตัวแทน (เจ้าหน้าที่ประกันสังคม)

ชมคลิป ประกันสังคม มาตรา 40 สิทธิประโยชน์ ที่จะได้รับมีหลายทางเลือก

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หรรษาบำบัด

“การหรรษาบำบัด” 

การหัวเราะแบ่งได้ 2 ประเภท คือ หัวเราะธรรมชาติ เกิดจากถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขัน ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และหัวเราะบำบัด เป็นการหัวเราะแบบรู้ตัว เพื่อใช้ประโยชน์จากการหัวเราะกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เราอารมณ์ดี มีความสุข จนมีนักวิชาการบางท่านนิยามสารชีวเคมีนี้ว่าเป็น "สารสุข"



คนเราเมื่ออารมณ์ดี จะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ ในรายงานการตีพิมพ์ของวารสาร The Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) ตีพิมพ์งานวิจัยจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโตรอนโต คานาดา บอกว่าอารมณ์ของคนเราน่าจะมีผลต่อการประมวลผลข้อมูลของสมอง ถ้าอารมณ์ดีจะช่วยขยายความคิดสร้างสรรค์ให้กว้างขึ้น ในทางกลับกันถ้าอยู่ในอารมณ์หวาดวิตก เคร่งเครียด หรือแม้แต่ความมุ่งมั่นมากเกินไป จะมีผลต่อความคิดจะหดแคบเข้ามา อารมณ์ดีหรือไม่ดีมีผลต่อกระบวนการคิดและแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ของคนเรา 

ดังนั้นพวกเราทั้งหลายจงมาร่วมกันผลิตสารแห่งความสุขผ่านกระบวนการหัวเราะ ซึ่งไม่ว่าท่านจะหัวเราะแบบบำบัด หรือหัวเราะแบบธรรมชาติ ก็เชื่อว่าร่างกายก็จะหลั่งสารชีวเคมนี้ได้ด้วยเช่นกัน

การหัวเราะบำบัดมีหลายแบบ เช่น Lauther Yoga ของอินเดีย ซึ่งผสมผสานระหว่างการหัวเราะและควบคุมการหายใจของโยคะเข้าด้วยกัน และเป็นที่มาของการหัวเราะบำบัดในกว่า 40 ประเทศ หรือกลุ่มหัวเราะในประเทศออสเตรเลีย ที่เดินทางไปสถานที่ต่างๆ เพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้คนทั่วไปด้วยพฤติกรรมตลก สำหรับประเทศไทย ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้คิดค้นการหัวเราะบำบัด โดยผสมผสานการควบคุมการหายใจ การเปล่งเสียงหัวเราะ และการบริหารร่างกายไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นการหัวเราะที่ให้ผลเชิงสุขภาพโดยไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ขัน ใช้เวลาในทำกิจกรรมประมาณ 2-3 ชั่วโมง 

ข้อดีของการหัวเราะ

การหัวเราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายใน 7 ระบบได้แก่


  1. ระบบทำงานของสมอง การหัวเราะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาทสมองส่วนพรีฟรอนทอลคอร์เทกซ์ (prefrontal cortex) บริเวณสมองส่วนหน้า (ซึ่งสมองบริเวณนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมความคิดที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของอารมณ์เชิงบวกและลบ) ที่ทำให้เกิดการหลั่งของสารชีวเคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า endorphin ซึ่งเป็นสารชีวเคมีของสมองที่มีฤทธิ์ "เพชฆาตความเจ็บปวด" หรือสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คือในด้านที่ส่งผลทำให้อารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน สมองก็จะมีการถูกกระตุ้นให้มีเพิ่มพื้นที่การประมวลผลความคิดในเชิงบวกและสร้างสรรค์ มีผลทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับการบำบัดและฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
  2. ระบบหายใจ (Breathing) ในระหว่างที่หัวเราะร่างกายมีการหายใจเข้า กลั้นหายใจ และหัวเราะ (หายใจออกยาวๆ) ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนถ่ายออกซิเจน ฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดง จึงทำให้เซลล์ประสาทหัวใจ ปอด คอ แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยบริหารร่างกายให้เกิดความร้อนและการเผาผลาญพลังงานสูง ช่วยฆ่าเชื้อโรคและป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทั้งไข้หวัด ภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัส กรน ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคปอด
  3. ระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย (Digestion and Gastrointestinal) การหัวเราะบำบัดช่วยให้อวัยวะส่วนท้อง อาทิ ลำไส้ใหญ่ เล็ก ตับ ไต ไส้ กระเพาะ มีการเคลื่อนไหว เกิดการบริหารกระเพาะและลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายทำงานดีขึ้น ป้องกันโรคอ้วน โรคบูลิเมีย (Bulimia : โรคที่กินอาหารเข้าไปแล้วรู้สึกผิด จนบางครั้งต้องกินยาถ่าย หรืออาเจียนออก) หน้าท้องหย่อน ท้องป่อง โรคเบื่ออาหาร กินไม่ลง ท้องผูก ท้องเสีย โรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น
  4. ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulation and Cardio-vascular system) การหัวเราะบำบัดเป็นการออกกำลังทุกส่วนของร่างกายทำให้อวัยวะต่างๆ ได้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะเร็วบ้าง ช้าบ้าง หัวใจสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ มากขึ้น หัวใจทำงานเป็นระบบขึ้น ป้องกันอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหนื่อยง่าย เหนื่อยเร็ว เจ็บแน่นหน้าอก โรคขาดเลือด เส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคหัวใจ ตลอดจนอาการใจสั่น เสียงสั่น ตัวสั่น ตื่นตระหนกและประหม่าง่าย
  5. ระบบพักผ่อนและผิวพรรณ (Rest and Skin system) การหัวเราะบำบัดช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้เส้นประสาท กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ยืดหยุ่น ไม่ตึงหรือเกร็ง ทำให้ร่างกายเกิดการพักผ่อน นอนหลับสนิท ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่น และไม่เป็นโรคทางผิวหนัง ช่วยให้ร่างกายและจิตใจเกิดความสงบ มีสมาธิมากขึ้น
  6. ระบบเจริญพันธุ์ (Reproduction) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายทุกส่วนขยับขับเคลื่อน ส่งผลต่อการทำงานของสมองส่วนนอก ส่วนกลาง และส่วนใน ให้ทำงานดีขึ้น เป็นระบบขึ้น ทำให้สมองคิดแง่ดี มองโลกแง่บวก อารมณ์ดี พัฒนาอารมณ์รัก และการมีเพศสัมพันธ์ และช่วยป้องกันอาการไร้อารมณ์ หงอยเหงา โดดเดี่ยว ไม่อยากเข้าสังคม การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และการเข้าสังคม
  7. สัญชาติญาณการอยู่รอด (Survival instinct) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว แข็งแรง ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาท กระดูก กล้ามเนื้อ ร่างกายทำงานเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคไขข้อ โรคกระดูกต่างๆ ทั้งกระดูกพรุน ปวดหลัง ปวดเอว อ่อนเปลี้ยเพลียแรง โรคซึมเศร้า นอกจากนี้ยังช่วยทำลายสารอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
หากวันนี้คุณยังหาวิธีออกกำลังที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้ลองชวนคนในครอบครัวมาหัวเราะพร้อมเคลื่อนไหวร่างกายด้วยกันสิคะ นอกจากได้ออกกำลังแล้ว ยังสร้างรอยยิ้มในครอบครัวคุณอีกด้วย


ซิทคอม ประกันสังคม เรียกเสียงฮา แล้วยังได้สาระ 



google-site-verification: google9d4e77c25dd1dae7.html

9 สุดยอดผัก ห่างไกลมะเร็ง

9 สุดยอดผัก ห่างไกลมะเร็ง

ผัก ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนก็เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพทั้งนั้น ซึ่งผักทุกชนิดต่างก็อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมาย เราจึงถูกปลูกฝังให้กินผักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่บางทีเราก็ไม่รู้ว่าผักบางชนิดมันดีอย่างไร แล้วจะเลือกอย่างไรดี วันนี้เรานำข้อมูลจากเว็บไซต์ Reader's Digest มาสรุปให้ครับ


  1.  หัวหอม  เป็นผักชนิดหนึ่งที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก เมื่อรับประทานแบบสดๆ ช่วยป้องกันโรค  มะเร็งปอดและมะเร็งต่อมลูกหมาก
  2.  ข้าวโพด  เมื่อทำให้สุก จะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ลูทีน (Lutein) อย่างเต็มที่ ซึ่งเจ้าสารชนิดนี้มีฤทธิ์ในการช่วยต่อสู้กับปัญหาเกี่ยวกับดวงตาในผู้ข้าวโพดต้ม ลองนำข้าวโพดไปย่าง หรือนำไปทำซุปข้าวโพดก็ได้ประโยชน์
  3. ถั่วลันเตา  มีงานวิจัยในวารสารวิชาการ International Journal of Cancer พบว่าการรับประทานถั่วลันเตาทุกวันจะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ การทานก็ไม่ยาก แค่เอามาผัดให้สุกกับน้ำมัน
  4. คะน้า  มากไปด้วยวิตามิน C สูง ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย และการลดอาการอักเสบต่างๆ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โดยการไปลดระดับของคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีนั่นเอง เหมาะมากโดยเฉพาะคนที่มีไขมันในเลือดสูง
  5. บร็อคโคลี   ช่วยในการต่อสู้กับโรคมะเร็งมากที่สุดก็คงต้องยกแชมป์ให้บร็อคโคลี เพราะบร็อคโคลี เป็นผักที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และมีแร่ธาตุอื่นๆ อีกมากมาย
  6. พริกหวานสีแดง  ภายใต้เปลือกที่สีสันจัดจ้านนี้อุดมไปด้วยวิตามินซี มากถึง 150% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ของโรคหัวใจอีกด้วย
  7. ผักโขม  มากไปด้วย แคโรทีนอยด์ (carotenoid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพดวงตาและช่วยป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดในผู้สูงอายุ และในผักโขมก็มีสารชนิดนี้อยู่สูงมาก แต่ถ้าอยากให้ได้ประโยชน์มากขึ้นก็ควรนำผักไปปรุงให้สุกเพราะจะทำให้ร่างกายดูดซึมแคโรทีนอยด์ได้ดีขึ้น
  8. กะหล่ำดาว  เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการต่อสู้กับโรคมะเร็งที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระ รวมทั้งการรับประทานวิตามินซีทุกวันก็ช่วยต่อสู้โรคมะเร็งได้ ซึ่งในกะหล่ำดาวเพียงครึ่งถ้วยก็มีปริมาณวิตามินซีถึง 80% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน แถมยังช่วยต่อสู้กับโรคหัวใจและต้อกระจกได้อีกด้วย
  9. หัวบีท   หัวบีทเป็นผักที่เราไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไร ส่วนใหญ่ที่เคยก็ได้ยินน้ำบีทรูท ซึ่งก็เป็นน้ำที่มาจากหัวบีทนี่ล่ะ แต่นอกจากน้ำแล้ว เจ้าหัวบีทสดก็มีประโยชน์นะ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต่อสู้กับมะเร็ง  และมี ลูทีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยปกป้องดวงตา 

DIY Spacer อุปกรณ์พ่นยารักษาโรคหอบหืด

แพทย์ มธ. เจ๋ง ประดิษฐ์เครื่องพ่นยาหอบหืด 

ราคาถูก


แพทย์ มธ. เจ๋ง! ประดิษฐ์เครื่องพ่นยาหอบหืด DIY Spacer ราคาถูก ต้นทุนเพียง 30-40 บาท จากปกติ 1,200-1,400 บาท สามารถประดิษฐ์ได้ด้วยตัวเอง

        รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง อรพรรณ โพชนุกูล ประธานชมรมและทีมการผลิต เผยว่า ด้วยความที่ตนเองเป็นแพทย์รักษาโรคหอบหืด ซึ่งการรักษานั้นจะต้องพ่นยา MDI เพื่อขยายหลอดลมในการรักษา ด้วยการสูดยาต้องกดยาในจังหวะเดียวกันกับการหายใจเข้าทางปาก และต้องกลั้นหายใจเป็นเวลา 10 วินาที ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุไม่สามารถพ่นยาได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งยายังตกสะสมในปากและผนังลำคอ ซึ่งมีเพียงส่วนน้อยที่จะเข้าไปในปอด 

        ดังนั้นจึงต้องอาศัยอุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยควบคุมในการพ่นยา หรือที่เรียกว่า "สเปเซอร์ (Spacer)" เป็นกระบอกกักเก็บยาที่มีลักษณะครอบกับใบหน้า มีวาล์วเปิด-ปิด ควบคุมทิศทางของอากาศหายใจ ทำให้พ่นยาได้ง่ายขึ้น แต่อุปกรณ์ดังกล่าวนั้น มีราคาแพงและต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ตกราคาเครื่องละ 1,200-1,400 บาท ผู้ป่วยบางคนก็ไม่มีเงินในการซื้อ จึงคิดค้นวิธีประดิษฐ์สเปเซอร์ที่ทำได้ด้วยตัวเองขึ้นมา เรียกว่า "DIY Spacer" 

       "อุปกรณ์ Spacer" ต้องมีวาล์วปิดเปิด โดยวาล์วจะเปิดเมื่อเด็กสูดหายใจเอาตัวยาเข้าไป แต่เมื่อเด็กหายใจออกวาล์วจะต้องปิดเพื่อไม่ให้ลมหายใจที่ปล่อยออกมาไปรวมกับตัวยาในกระบอก ซึ่งในการออกแบบทีมวิจัยนำลิ้นวาล์วในอุปกรณ์สูบน้ำด้วยมือ หรือไซฟ่อนปั๊ม มาเป็นตัวควบคุมทิศทางการไหลของลมหายใจให้ไปทางเดียว เมื่อสูดหายใจเข้าตัวยาก็จะไหลเข้าปอด และเมื่อปล่อยลมหายใจออกอากาศจะไหลออกทางช่องเปิดด้านบน ไม่ไหลกลับเข้าไปผสมกับยา ที่สำคัญขวดพลาสติกที่จะนำมาประดิษฐ์ควรเรียบและปริมาตรของท่อต่อ หรือ Spacer ไม่ควรต่ำกว่า 250 มิลลิลิตร และไม่ควรสั้นกว่า 4 เซนติเมตร เพื่อขนาดโมเลกุลของตัวละอองยาที่เหมาะสม"

        ด้วยคุณสมบัติพิเศษของ DIY Spacer ทำให้ในปี 2556 อุปกรณ์ช่วยพ่นยาชนิดทำได้ด้วยตนเองหรือ "DIY Spacer (Do it yourself)" สามารถคว้ารางวัลระดับเหรียญทองเกียรติยศ ประเภท "อุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อผู้ป่วยด้อยโอกาส" จากงาน 41st International Exhibition of Innovations of Geneva" ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส และรางวัล Special Prize จากประเทศไต้หวัน และรางวัลเหรียญเงิน "SIIF 2012" กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี  "ความสำเร็จในการประดิษฐ์อุปกรณ์ช่วยพ่นยาส่วนหนึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการพึ่งพาตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาค่อนข้างสูง" รศ.พ.ญ.อรพรรณกล่าว


       โดยส่วนแรกที่เป็นกระบอกกักเก็บยา ก็ใช้ขวดน้ำในการดัดแปลง ส่วนที่สองคือลิ้นปิด-เปิด ก็ใช้ไชฟ่อนปั๊มทำเลียนแบบ และส่วนที่ 3 หน้ากากแนบหน้าก็ใช้ขวดน้ำมาดัดแปลงเช่นกัน ซึ่งสนนราคาอยู่ที่ 30-40 บาทเท่านั้น ส่วนประสิทธิภาพก็ใช้ได้ดีผลการรักษาไม่แตกต่างจากการใช้ Spacer แต่ทั้งนี้อาจจะไม่แข็งแรงคงทนและอายุใช้งานค่อนข้างสั้นประมาณ 3-6 เดือน  อย่างไรก็ดีทางชมรมฯ ได้ทำ DIY Spacer เพื่อแจกจ่ายคนไข้ไปแล้วกว่า 3 หมื่นราย และจะผลิตเพื่อแจกจ่ายให้มากขึ้นกว่าเดิม พร้อมเน้นสอนให้ผู้ป่วยหรือคนที่สนใจผลิตอุปกรณ์ชิ้นนี้ขึ้นมาเองได้ 


ดูวิธีการทำแบบง่ายๆ ตามคลิป

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ประกันสังคม เสนอแก้กฎหมายให้ผู้ประกันตนเลือกรับบำเหน็จ - บำนาญชราภาพ

ประกันสังคม เสนอแก้กฎหมายให้ผู้ประกันตน
เลือกรับบำเหน็จ - บำนาญชราภาพ


สำนักงานประกันสังคม- เอาใจผู้ประกันตน
เสนอร่างแก้ไขกฏหมายประกันสังคม ให้ผู้ประกันตนสามารถเลือกรับบำเหน็จ หรือบำนาญชราภาพ
ต่อสนช. หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ




ชมข่าวเต็มๆ ได้ที่นี่


วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557

จิตใจร่าเริง เป็นยาอย่างดี

จิตใจร่าเริง เป็นยาอย่างดี

 ทราบหรือไม่ว่า เบื้องหลังของ เสียงหัวเราะ นั้นมีประโยชน์มากมายที่คุณอาจคาดไม่ถึง

  1. หัวเราะช่วยลดอาการเจ็บปวด   เมื่อหัวเราะรางกายจะรู้สึกผ่อนคลายซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวดได้ ตัวอย่างเช่น เวลาถูกฉีดยา หากเรารู้สึกเครียดกล้ามเนื้อจะเกร็งตัวทำให้รู้สึกเจ็บ แต่หากหัวเราะร่างกายจะเริ่มผ่อนคลายและความเจ็บปวดนั้นจะค่อยๆลดลง
  2. หัวเราะแก้ซึมเศร้า การหัวเราะนั้นจะช่วยให้ร่างกายหลังสารสื่อประสาทอย่างซีโรโทนิน (Serotonin) และโดพามีน (Depamine) เพิ่มมากขึ้นทำให้จิตใจสงบเยือกเย็น ผ่อนคลาย
  3. หัวเราะเพิ่มภูมิคุ้มกัน  การหัวเราะช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเช่น ไข้หวัดได้
  4. หัวเราะลดน้ำหนัก  เวลาเครียดร่างกายจะหลังฮอร์โมนเครียดที่ชื่อว่าคอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา ทำให้เกิดความรู้สึกอยากอาหารและกินมากขึ้น การหัวเราะ 30 วินาที - 5 นาทีสิบครั้งต่อวันจะช่วยให้ความอยากอาหารลดลง มีผลให้การควบคุมน้ำหนักดีขึ้นด้วย
  5. หัวเราะบริหารหัวใจ การหัวเราะเพียง 15-20 นาที ช่วยให้หัวใจได้ออกกำลังกาย 3-5 นาที ถือเป็นการบริหารหัวใจง่ายๆที่เหมาะกับผู้สูงอายุที่นอนอยู่บนเตียงและเคลื่อนไหวไม่ได้มากนัก
  6. หัวเราะบริหารกล้ามเนื้อ  ระหว่างที่หัวเราะจะช่วยกล้ามเนื้อบนใบหน้า 12 ชนิดและกล้ามเนื้อบริเวณร่างกายอีก 15 ชนิด ได้ออกกำลังไปในตัวด้วย
  7. หัวเราะบริหารปอด การหัวเราะทำให้กะบังลมเคลื่อนไหว ช่วยหมุนเวียนอากาศในปอดช่วยให้ปอดสามารถขับอากาศเสียและรับออกซิเจนเข้าปอดได้อย่างเต็มที่

มาเป็นคนโชคดีกันเถอะ

มาเป็นคนโชคดีกันเถอะ 

มาเป็นคน โชคดีกันเถอะ

ความลับของคนโชคดี 

          "คุณช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เลื่อนตำแหน่ง"
          "คุณโชคดีที่ทำธุรกิจอะไรก็ประสบความสำเร็จไปหมด"
          "คุณโชคดีที่มีครอบครัวที่ดีและอบอุ่น"


เราเคยสงสัยบ้างไหมว่า ความโชคดีคืออะไร? แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะมีความโชคดีเป็นของตัวเองบ้างบางคนอาจรอคอยและคิดว่าสักวันหนึ่งโชคคงเป็นของเราบ้าง บ้างก็คิดว่าความโชคดีมาจากบุญเก่าที่สร้างไว้ ผลบุญจึงส่งผลให้เขาโชคดีและประสบความสำเร็จ

 ต่อไปนี้เป็น เคล็ดลับการสร้างความโชคดี
“คนที่โชคดี” จะมีลักษณะบางอย่างร่วมกัน ซึ่งช่วยให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะโชคดีมากกว่าคนอื่น

  1. คนที่โชคดีจะใช้ประโยชน์จาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กับชีวิตของตน โดยที่แทนที่เขาจะคิดว่า เป็นเพียงแค่เหตุบังเอิญ แต่แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีคำว่า "บังเอิญ" ในโลกใบนี้ หากแต่เป็นเหตุการณ์ที่อาจจะเปลี่ยนโชคชะตาของคุณเลยก็ได้ โดยแทนที่จะปล่อยให้ชีวิตผ่านไปเรื่อยๆ พวกเขาจะใส่ใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว จึงสามารถดึงประโยชน์มาได้ดีกว่าคนอื่น
  2. คนที่โชคดีจะ เปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ และเต็มใจที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่อยู่นอกเหนือประสบการณ์ของตนเอง เช่น การอ่านหนังสือเนื้อหาที่ไม่คุ้นเคย เดินทางไปสถานที่ที่ไม่รู้จัก
  3. คนที่โชคดี มักชอบเข้าสังคม ชอบสบตาและยิ้มให้กับผู้อื่น ส่งผลให้ได้พบกับความสัมพันธ์ที่ดีและยาวนานกว่าคนทั่วไป รวมทั้งได้รับโอกาสดีๆ มากกว่าบุคคลอื่นด้วย
  4. คนที่โชคดี จะมองโลกในแง่ดี และคาดหวังว่าจะมีเรื้องดีๆ เกิดขึ้นกับตัวเอง ดังนั้นเมื่อมีบางสิ่งไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ พวกเขาก็จะพยายามหาวิธีดึงผลลัพธ์ดีๆ ออกจากสถานการณ์อันเลวร้ายได้อยู่ดี มุมมองของพวกเขาสามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นเรื่องดีๆได้


ดังนั้น ถ้าเราอยากเป็นคนโชคดีในทุกๆ ด้านของชีวิตแล้วล่ะก็ ลองมาปรับมุมมอง เพื่อที่จะเป็นคนโชคดีกันน่ะครับ


บทบาท กองทุนเงินทดแทน

กองทุนเงินทดแทน ดูแลผู้ประกันตน กรณีเจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ เนื่องจาการทำงาน 

กองทุนเงินทดแทน  เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นทุนในการจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้าง  เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย   หรือถึงแก่ความตาย   หรือสูญหาย    เนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง    โดยนายจ้าง เป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเพียงฝ่ายเดียว


แจ้งการประสบอันตรายของลูกจ้าง

            เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง   นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษาพยาบาลทันที  และแจ้งสำนักงานประกันสังคม  ภายใน  15  วันนับแต่วันที่ทราบ  โดยใช้แบบแจ้งการประสบอันตราย   หรือเจ็บป่วยฯ  (กท 16)  ลูกจ้างสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลใดก็ได้    โดยทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน     หรือใช้แบบ  กท.44   ส่งตัวลูกจ้างเข้ารับการรักษาหากโรงพยาบาลนั้นเป็นโรงพยาบาลในความตกลงกับกองทุนเงินทดแทน     โดยโรงพยาบาลจะเรียกเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลจากสำนักงานฯ  โดยตรง

เมื่อเกิดกรณีดังต่อไปนี้ ผู้ประกันตน ควรใช้สิทธิของตน เพื่อขอรับเงินทดแทนการขาดรายได้ 


รู้หรือไม่ อันตรายจากการนอนดึก อดนอน ทำลายระบบทำงานของร่างกาย

ปัจจุบันปัญหาสุขภาพของคนทุกวัยในปัจจุบันคือ การนอนดึก เป็นประจำ จนรู้หรือไม่ว่า มีโทษต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง
เพราะการนอนดึกจะทำให้ระบบการทำงานต่างๆ ภายในร่างกายมีปัญหา 


ปัญหาคนรุ่นใหม่  ซึ่งมีทั้งวัยรุ่นและวัยทำงานทั้งหลายกระทำในสิ่งที่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องจำเป็น และมีสาระประโยชน์นักแต่อย่างใด  นับตั้งแต่ เล่มเกมส์ออนไลน์, คุยกัน (Chatting) ผ่านอินเตอร์เนต, ส่งข้อความหากัน (Texting), โทรศัพท์คุยเล่นกัน (Phone call), ดูหนังดึกๆดื่นๆจนกลายเป็นเรื่องที่พบเห็นดาษดื่น  จนกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมยุคปัจจุบัน

....หลายคนลงเอย  ด้วยการนอนหลับอยู่บนโซฟา หรือหน้าจอ  โดยอุปกรณ์ทีวี และคอมพิวเตอร์เหล่านั้นยังคาเปิดทิ้งไว้  จนรุ่งเช้าเลยก็มี....

ปัญหาวัยรุ่นโดยเฉพาะวัยเรียนนอนดึก และนอนไม่เป็นเวลา เป็นเรื่องที่พ่อแม่ ผู้ปกครองเกือบทั้งโลกปวดหัว  แต่ก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร...

บางคนอาจจะโต้แย้งว่า  ตอนดึกๆเป็นยามที่อากาศเย็นสบาย เงียบสงบ ไม่ค่อยมีเสียงและผู้คนรอบๆตัวมารบกวน  ทำให้มีสมาธิทำงานดีขึ้น  ในทางวิทยาศาสตร์เราพบว่าประสิทธิภาพ (Efficiency) และผลผลิต (Productivity) ของร่างกายมีแนวโน้มจะลดลงเมื่อดึกมากขึ้น  ถ้าหากในเวลากลางวัน  เรามีกิจกรรมอยู่ตลอด  ยามวิกาลจึงควรเป็นเวลายกคัทเอาต์ขึ้น  เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและตั้งสมดุลย์ร่างกายใหม่

คำแนะนำที่สั้น และกระชับที่สุดคือ  ควรเข้านอนช่วง 21 – 23 นาฬิกา อย่างดึกที่สุดไม่เกินเที่ยงคืน  ไม่เล่นมือถือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ใดๆ หรือดูโทรทัศน์ช่วง 30-60 นาทีก่อนนอน  ไม่ดื่มชา,กาแฟ  ห้องนอนควรมืด เงียบ และอุณหภูมิพอเหมาะ  ตื่นนอนในเวลาใกล้เคียงกันแทบทุกวัน  อย่าตื่นสายในวันหยุด  สวนมนต์หรือนั่งสมาธิก่อนนอน  จะช่วยให้ใจสงบและหลับสบาย

คนนอนดึกและตื่นเช้า  มักจะนอนไม่พอโดยไม่รู้ตัว  ฝรั่งเรียกว่า เป็นพวกชอบ “จุดเทียนปลาย 2 ข้าง” (to burn the candle at both ends)

หนุ่มๆ ที่ชอบทำตัวเป็นนกฮูก  ส่วนสาวๆ ที่ชอบทำตัวเป็นนกเค้าแมว ซึ่งหากินกลางคืน  เป็นเรื่องที่ขัดกับหลักการที่ว่า  เราควรให้คุณค่ากับการนอนหลับ พักผ่อน เฉกเช่นคุณค่าของชีวิต (we must value our sleep as we value our life)  ทีเดียวครับ

นอนดึก ผลเสีย

ปวดปัสสาวะ อย่ากลั้น (Infographic)

อั้นปัสสาวะ ฉิ้งฉ่อง ฉี่ เป็นอันตราย หากต้้่งครรภ์เสี่ยงแท้งลูกได้

อั้นปัสสาวะ เคยเป็นกันไหมคะ  โดยเฉพาะหน้าหนาวก็เลยไม่อยากลุกขึ้นจากที่นอนเลยหรือตอนทำงาน เดินทางไปต่างจังหวัด ติดประชุม แต่มันไม่ดีแน่ๆ ในการกลั้นปัสสาวะ เพราะพบว่าตื่นเช้ามารู้สึกปวดท้องน้อย เมื่อไปปัสสาวะ ก็ยิ่งปวดมากขึ้นกว่าเดิม และอีกอย่างรู้สึกปวดหลังเป็นอย่างมากค่ะ   และไปหาข้อมูลเกี่ยวกับ ปัญหาจากการกลั้นปัสสาวะ

อั้นปัสสาวะ อั้นฉี่ ผลกระทบ

สาเหตุที่ทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ที่พบบ่อยได้แก่เชื้อ อีโคไล ( E.Coli ) ซึ่งเป็นเชื้อที่พบในอุจจาระของคนทั่วไป เนื่องจากทวารหนักและท่อปัสสาวะอยู่ใกล้กันมากโอกาสในการปนเปื้อนจึงเกิด ขึ้นได้ และทำให้เชื้อโรคหลุดเข้าไปในน้ำปัสสาวะ เกิดการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะและย้อนขึ้นไปตามหลอดไต เกิดการอักเสบที่กรวยไตได้ โรคกรวยไตอักเสบเฉียบพลันจะมีอาการ ไข้สูง หนาวสั่นมาก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มักมีอาการปวดท้อง ปวดบั้นเอวด้านในด้านหนึ่ง และปัสสาวะขุ่น ถ้าเป็นมากอาจจะปัสสาวะเป็นหนองได้ 

         โรคกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ถือเป็นโรคที่รุนแรงและมีอันตราย ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องภายใน 24 ชั่วโมง คือ ได้รับการตรวจวินิจฉัย และหาสาเหตุร่วม เช่นการมีนิ่วอุดตันในทางเดินปัสสาวะ หากได้รับการรักษาช้าอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น ภาวะไตวายเฉียบพลัน หรือภาวะโลหิตเป็นพิษ และจะพบความรุนแรงยิ่งขึ้นในกรณีที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ พบว่าการรักษาโรคกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ต้องได้รับยาปฏิชีวนะชนิดฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ และต้องให้สารน้ำทางน้ำเกลือในกรณีที่ผู้ป่วยอาเจียนมาก เพื่อรักษาสมดุลเกลือแร่ และน้ำในร่างกาย


หากมีอาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรรีบรักษาอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้ลุกลามการอักเสบไปที่กรวยไตและเนื้อไต ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยเบหวานอย่าวางใจเด็ดขาด เพราะการอักเสบที่รุนแรง อาจเกิดถุงหนองรอบไต และติดเชื้อเข้ากระแสเลือด อันตรายถึงชีวิตได้ พฤติกรรมของมนุษย์ มีผลต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่น การกิน การนอนหลับ การใช้คอในกรณีนอนอ่านหนังสือ หรือนอนดูทีวีหรือการเงยคอบ่อยๆ เรียกว่าใช้คอในท่าที่ไม่ถูกต้องก็ทำให้กระดูกต้นคอเสื่อมได้ เช่นเดียวกันการกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ ก็ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้